Sunday, May 31, 2015

"หม่อมยิ่ง" ราชนารีผู้กล้าฝ่าฝืนกฎมณเฑียรบาลแห่งราชสำนัก!


พระองค์คือ พระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ อรรคราชสุดา พระราชธิดารุ่นแรกๆในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่4 พระองค์เป็นคนทันสมัย เพราะเรียน-เขียน-อ่านภาษาอังกฤษได้ดีเป็นคนมีความรู้มีการศึกษาที่ดี ได้ถวายงานพระราชบิดาอย่างมากมาย ชาววังขานพระนามท่านว่าเสด็จพระองค์ใหญ่ยิ่ง ซึ่งพระองค์เป็นพระราชธิดาที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่4ทรงโปรดมากถึงกับพระ ราชทานสร้อยหลังพระนามว่า "อรรคราชสุดา"


พระองค์ มีข่าวอื้อฉาว เนื่องจากเมื่อครั้งพระองค์ยังเป็นสาวแรกรุ่น ได้เสด็จไปฟังเทศน์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่เทศน์ชื่อ พระภิกษุโต ปรากฏว่าพระองค์เจ้าหญิงพระองค์นี้ และพระโตมีจิตปฏิพัทธ์เสน่หาต่อกัน ต่อมาพระโตได้สึกออกไปพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ จึงได้จัดหาตึกให้ทิดโตพำนักอยู่แถวถนนเจริญกรุง และได้แอบปีนเข้าหาพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ในพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท จนเกิดเรื่องอื้อฉาวเนื่องจากพระองค์เจ้าหญิงพระองค์นี้ทรงมีครรภ์ เมื่อความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้ลงโทษทิดโต โดยให้ตัดศีรษะที่วัดตึก (วัดพลับพลาไชย ในปัจจุบัน) ส่วนพระองค์เจ้าหญิงยอดยิ่งเยาวลักษณ์ไม่ได้ถูกประหารชีวิต เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยตรัสขอพระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าลูกยาเธอทั้งหมด แก่ "ท่านผู้ใดที่จะปกครองแผ่นดินต่อไป"หากโทษประหารก็เพียงจองจำเอาไว้หรือ เนรเทศ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ อรรคราชสุดา จึงถูกถอดออกเป็นสามัญชน เรียกเป็นหม่อมยิ่ง และให้ไปอยู่แถวบริเวณทุ่งบางกะปิ หรือบริเวณหนองจอกในปัจจุบัน


ก่อนหน้าความจะแตกนั้น ชาววังโจษกันว่าพระองค์หญิงประชวรด้วยโรคท้องมาน เล่ากันว่าเจ้าจอมมารดาเปี่ยมได้ขอให้พระองค์หญิงเปิดพระภูษา(ผ้า,เครื่อง นุ่งห่ม)เพื่อดูพระนาภี(บริเวณท้อง) เมื่อเจ้าจอมมารดาเปี่ยมเห็นเช่นนั้นจึงทูลไปว่า "ขอประทานโทษเถอะนะเพคะ มองดูแล้วเหมือนกับคนท้องไม่มีผิด" พระองค์หญิงก็ทรงตอบว่า "ก็ดูเอาเถอะค่ะ โรคเวรโรคกรรมอะไรก็ไม่รู้" ไม่นานหลังจากนั้นพระองค์ก็ประสูติพระโอรสในตำหนักของพระองค์เองอย่างลับๆ ไม่ให้ผู้ใดรู้ยกเว้นข้าหลวง แล้วเอาเด็กใส่กระโถนปิดฝาเอาไว้ พอดีพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์หนึ่งเสด็จมาเยี่ยม และได้ยินเสียงทารกจึงทรงเปิดดูกระโถนก็ทรงเห็นเด็กแดง ๆ ความจึงแตก

ตระกูลที่สืบเนื่องจากโอรสของท่าน คือ ธรรมสโรจ ทางสายเจ้าจอมมารดาของพระองค์
ทีมา : http://variety.teenee.com

6 เมืองโบราณใต้น้ำสุดลึกลับ ที่คุณอาจจะไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง!!


บนพื้นดินในโลกปัจจุบันคงมีน้อยที่ที่มนุษย์เรายังเข้าไม่ถึง

ด้วยเทคโนโลยีมากมาย ทำให้เราสามารถเขาไปถึงที่อันตรายต่างๆได้แต่ในทางกลับกัน

โลกใต้น้ำยังคงเป็นดินแดนลับแลสำหรับมนุษย์ แม้ว่าเทคโนโลยีปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมาก แต่เรายังรู้เรื่องโลกใต้น้ำน้อยเหลือเกิน

และคุณเชื่อหรือไม่ ในดินแดนลับแลใต้บาดาลเหล่านี้ มีเมืองมนุษย์หลับไหลอยู่ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม

อาจจะเป็นแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือน้ำท่วมก็ตามแต่ สุดท้ายเมืองเหล่านี้ก็ได้จมลงไปอยู่ใต้ท้องทะเล

รอวันที่เราจะไปค้นพบอยู่ ไปชมกันเลย

1. เมืองซือเฉิงหรือเมืองสิงโต เมืองโบราณใต้น้ำที่ถูกลืมในประเทศจีน


เมืองโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกลงไป 40 เมตรในทะเลสาบเฉียนเต่า เนื่องจากสถาปัตยกรรมอันงดงามทำให้ที่นี่กลายเป็นเป้าหมายของนักประดาน้ำจาก ทั่วโลก


ทะเลสาบเฉียนเต่าแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาอู๋ซือหรือเทือกเขาห้า สิงโต และชื่อเมืองซือเฉิงก็ได้รับอิทธิพลมาจากที่ตั้งของมันด้วยเช่น กัน เมืองซื่อเฉิงแห่งนี้เคยเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในยุคราชวงค์ฮั่นตะวัน ออก ราวๆ ค.ศ.25 ถึง 200 และเป็นศูนย์กลางของมณฑลเจ้อเจียงอีกด้วย ว่ากันว่าเมืองนี้มีขนาดประมาณ 62 สนามฟุตบอลเลยทีเดียว!!


สาเหตุที่เมืองนี้จมลงใต้น้ำก็เพราะว่า ทางรัฐบาลจีนได้สร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำซินอันซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองนี้ในปี ค.ศ 1959 ทำให้เมืองนี้ค่อยๆจมลงสู่ใต้น้ำ และเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน

2. พระราชวังคลีโอพัตรา ในประเทศอียิปต์


คุณสามารถพบซากโบราณสถานแห่งนี้ได้ ในบริเวณชายฝั่งของเมืองอเล็กซานดรา ประเทศอียิปต์ พระราชวังแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อน แต่เกิดเหตุแผ่นดินไหว ทำให้ส่วนนี้ของเมืองจมลงสู่ทะเลเมื่อ 1500 ปีก่อน ปัจจุบัน มีโบราณวัตถุกว่า 140 ชิ้นถูกกู้ขึ้นไปโดยนักโบราณคดี



ในอนาคต ทางการของอียิปต์มีแผนจะสร้างพิพิธภัณฑ์ใต้น้ำนบริเวณที่แห่งนี้ด้วย เก็บเงินรอไปชมกันได้เลย

3. เมืองใต้น้ำ Baiae ในประเทศอิตาลี


ในอดีต เมืองแห่งนี้เคยเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของเหล่าผู้มีฐานะและมีชื่อเสียง จนกระทั่งเมื่อ 1500 ปีก่อน ระดับน้ำก็ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้เมืองนี้อยู่ใต้น้ำโดยสมบูรณ์ ปัจจุบัน โบราณสถานแห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักประดาน้ำ ผู้อยากเห็นซากอารยธรรมโบราณแห่งนี้

เราจะเห็นได้ว่า มีรูปปั้นตัวละครในเทพนิยายกรีกโรมันมากมาย อย่างเช่นโอดีซีอุสเป็นต้น


4. เมือง Port Royal ประเทศจาไมก้า


เมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองที่บาปที่สุดแห่งหนึ่งที่โลกเคยมีมา เพราะมันเคยเป็นเมืองท่าของเหล่าโจรสลัด แน่นอน มันย่อมเต็มไปด้วยอบายมุขและสิ่งผิดกฎหมายมากมาย และนอกจากความบาปแล้ว เมืองนี้ยังเคยมีอุบัติภัยทางธรรมชาติที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในโลกที่ เคยเกิดขึ้นมาอีกด้วย


ในปี 1692 เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง และเกิดคลื่นยักษ์ซึนามิตามมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีกว่า 2,000 คน และส่วนหนึ่งของเมือง ก็จมลงสู่ใต้น้ำในทันที


5. นครทวารกะ ดินแดนของพระกฤษณะ


ถ้าใครเคยอ่านเรื่องศึกมหาภารตะ จะจำได้ว่าเมืองของพระกฤษณะซึ่งเป็นร่างอวตารร่างหนึ่งของพระนารายณ์ มีชื่อว่านครทวารกะ เมืองนี้ถือว่ามีความสำคัญต่อผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูอย่างมาก เพราะว่าถือว่าเป็นเมืองในตำนาน ที่ชาวฮินดูทุกคนควรไปสักการะ และลึกลงไปในอ่าวกว่า 40 เมตร คุณจะได้พบกับหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของเมืองแห่งนี้เมื่อ ครั้งอดีต

6. ปิรามิดโยนากุนิจิม่าอันแสนลึกลับ ในประเทศญี่ปุ่น


ปิรามิดแห่งนี้ดึงดูดนักประดาน้ำจำนวนมากจากทั่วโลก ให้มาสำรวจทุกๆปี และยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่า ปิรามิดนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือมนุษย์สร้างขึ้นมา โดยมันมีอายุถึงราว 12,000 ปี


ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ ว่ามีอะไรแบบนี้อยู่บนโลกของเราด้วย เห็นแล้วอยากจะลองไปชมด้วยตาซักครั้งจริงๆ

แต่คงต้องรอวันที่มันไปได้ง่ายกว่านี้ก่อนล่ะเนอะ 555+
ที่มา : http://board.postjung.com/882890.html





แม่ร้อง.. ลูกสาวโดนหมากัด เลยเอาไม้ไปตีหมา ถูกเจ้าของหมาโต้กลับ+ผู้ใหญ่บ้านเตือน ว่าหมานี้มี พรบ.คุ้มครอง จะมีโทษมากกว่าที่หมาไปกัดคน


ได้มีผู้แชร์เรื่องราว ที่หมาไปกัดเด็กคนหนึ่ง เมื่อแม่ของเด็กเห็นก็ได้ใช้ไม้ตีหมาเพื่อไล่ไป หลังจากนั้นต้องการแจ้งความเอาผิดเจ้าของหมา แต่ผู้ใหญ่บ้านกลับบอกว่า หมานี้มี พรบ.คุ้มครองสัตว์ คุ้มครองอยู่ ถ้าไปแจ้งความ แม่ของเด็กอาจจะมีโทษมากกว่า ที่เจ้าของหมาปล่อยปะละเลยให้หมาไปกัดเด็กซะอีก

โดยเรื่องนี้มาจากเพจ "เครือข่าบระวังภัย" มีข้อความดังนี้

ที่มา: http://board.postjung.com/882769.html

พลิกตำนาน สองไอ้ด่าง จระเข้ยักษ์กินคนมากที่สุดในไทย


ทราบกันหรือไม่ว่าในอดีตเคยมีจระเข้ที่ออกอาละวาดไล่กินคนมาแล้ว โดยไม่ต้องอาศัยน้ำท่วมเมือง
แต่อย่างใด จระเข้ที่จะเขียนถึงในครั้งนี้มีชื่อเรียกกันจนคุ้นหูคนไทยจนถึงปัจจุบันพวก มันคือ ” ไอ้
ด่าง ” จระเข้ที่ชื่อไอ้ด่างมีอยู่ด้วยกัน 2 ตัว ตัวแรกคือ “ไอ้ด่างเกยชัย” ส่วนอีกตัวคือ “ไอ้ด่าง
คลองบางมุด” ซึ่งทั้งสองตัวเป็นจระเข้กินคนที่อาละวาดสร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนในยุคสมัยนั้น
ทราบกันหรือไม่ว่าในอดีตเคยมีจระเข้ที่ออกอาละวาดไล่กินคนมาแล้ว โดยไม่ต้องอาศัยน้ำท่วมเมือง
แต่อย่างใด จระเข้ที่จะเขียนถึงในครั้งนี้มีชื่อเรียกกันจนคุ้นหูคนไทยจนถึงปัจจุบันพวก มันคือ ” ไอ้
ด่าง ” จระเข้ที่ชื่อไอ้ด่างมีอยู่ด้วยกัน 2 ตัว ตัวแรกคือ “ไอ้ด่างเกยชัย” ส่วนอีกตัวคือ “ไอ้ด่าง
คลองบางมุด” ซึ่งทั้งสองตัวเป็นจระเข้กินคนที่อาละวาดสร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนในยุคสมัยนั้น


ดังนั้นอย่าจำสับสนกันระหว่าง ไอ้ด่างเกยชัย กับ ไอ้ด่างคลองบางมุด เพราะ เจ้าจระเข้สองตัวนี้
แม้จะชื่อเรียกว่าไอ้ด่างเหมือนกันแต่พวกมันมีชื่อเสียง กันคนละยุคสมัย ไอ้ด่างเกยชัยนั้นถือว่าเป็น
จระเข้กินคนรุ่นพี่เพราะมีเรื่องราวและ ประวัติการปรากฏตัวอาละวาดกินคนที่แม่น้ำน่าน ในช่วงสมัย
รัชกาลที่ 5 บ้านเกยชัย จ.นครสวรรค์ (ปัจจุบันคือ ต.เกยไชย อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์) สำหรับ
ชื่อหรือฉายาของไอ้ด่างเกยชัยนั้นเพราะปลายจมูกมันมีดวงด่างสีขาวเป็น จุดเด่น แต่ไอ้ด่างเกยชัยก็
สิ้นชีพด้วยหอกของหมอจระเข้ 2 คน และหัวของมันถูกตัดเก็บไว้ ว่ากันว่ามีความใหญ่ถึงขนาดหัวถึง
หางสามารถนอนขวางลำน้ำจากฝั่งหนึ่งถึงอีก ฝั่งหนึ่งได้ ถ้าเป็นเรื่องจริงดังบันทึกก็หมายความว่าไอ้
ด่างเกยชัยมีขนาดความยาวลำตัว ยาวถึง 9-10 เมตรเลยทีเดียว แต่ น่าเสียดายที่เรื่องราวของ
ไอ้ด่างเกยชัยซึ่งมีบันทึกอยู่ใสมุดบันทึกของกรม พระยาดำรงราชานุภาพเมื่อคราวที่ท่านเสด็จไปตรวจ
ราชการที่เมืองเหนือได้ บันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวของไอ้ด่างเกยชัยไว้เพียงสั้นๆแค่ 2 บรรทัดมีใจ
ความว่า ที่มีศีรษะของจระเข้ใหญ่ เป็นจระเข้กินคน ชาวบ้านเล่าลือกันว่าเป็นจระเข้เจ้า มีพระยา
คนหนึ่งได้นำเอาศีรษะจระเข้นี้เข้ากรุงเทพฯ และได้ขายต่อให้ชาวต่างชาติไป เป็นอันจบกันสำหรับ
เรื่องราวของศีรษะจระเข้ใหญ่ สำหรับบันทึกของกรมพระยาดำรงราชานุภาพของท่านตอนนี้สามารถ
สืบค้นได้ที่หอ สมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรีแต่ เรื่องราวของไอ้ด่างเกยชัยมักจะมีคนจำสับสนกับไอ้ด่าง
คลองบางมุด จระเข้น้ำเค็มมีขนาดลำตัวยาวกว่า 5 เมตร และเคยอาละวาดกินคนเช่นเดียวกันแต่
คนละสถานที่ เพราะไอ้ด่างตัวที่สองนี้อาละวาดกินผู้คนที่คลองบางมุด อ.หลังสวน จ.ชุมพร เมื่อปี
พ.ศ. 2507 ซึ่งเรื่องราวของไอ้ด่างคลองบางมุดนี้โด่งดังจนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ไทย ถึง 2
ครั้งเลยทีเดียว โดยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2531 ใช้ชื่อว่า ” ไอ้ด่างเกยชัย ” นำแสดงโดย บิณฑ์
บรรลือฤทธิ์ และ สรารัตน์ หรุ่มเรืองวงศ์ ครั้งที่สองในปี 2548 ใช้ชื่อว่า ” โคตรเพชฌฆาต ” นำ
แสดงโดย ชาติชาย งามสรรพ์ และ จิรภัทร์ วงศ์ไพศาลลักษณ์ กำกับโดย อนัตย วงเงิน ส่วนไอ้
ด่างคลองบางมุดนี่ปรากฏเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ในปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2507 เป็นเรื่อง
ราวชวนสยองขวัญเกี่ยวกับจระเข้ยักษ์กินคน และไอ้ด่างตัวที่สองนี่ล่ะที่มีเรื่องราวที่บันทึกไว้เป็นหลัก
ฐานข้อมูลค่อน ข้างชัดเจนรวมถึงมีภาพข่าวตามสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆในยุคสมัยนั้นเราลองมาทำ ความรู้จัก
กับไอ้ด่างจระเข้กินคนตัวนี้กันดีกว่า
ย้อน กลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2507 ปลายเดือนตุลาคม ได้ปรากฏข่าวที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับ
ผู้คนในยุคสมัยนั้น โดยเฉพาะชาวคลองบางมุด บ้านหนองไก่ปิ้ง ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร
เกี่ยวกับจระเข้ที่ออกอาละวาดกินคนไปหลายคน และเริ่มเป็นข่าวสะเทือนขวัญยิ่งขึ้น เมื่อนายอุดม
ชาวบ้าน ต.นาขา ลงไปอาบน้ำในคลองถูกจระเข้คาบไปกินต่อหน้าต่อตาชาวบ้านนับสิบ และอีก 2-3
วันต่อมาก็ถึงคิวของนายอิน ชาวเขมร บ้านเดิมอยู่ จ.ตราด มาตั้งรกรากที่คลองบางมุดได้นำเรือ
เล็กไปตัดจากเพื่อนำมามุงหลังคาบ้าน ขณะยืนตัดกิ่งจากอยู่ในเรือ จระเข้ยักษ์ก็พุ่งตัวขึ้นมาบนเรือ
คาบขานายอิน ตกลงไปในน้ำ แม้นายอินจะพยายามดิ้นและเกาะแคมเรือร้องเรียกให้ภรรยาซึ่งอยู่บน
ฝั่งช่วย เธอก็พยายามกระพุ่มน้ำและส่งเสียงไล่แต่ไม่เป็นผลจระเข้ยักษ์ได้คาบนายอินลง ไปใต้ท้อง
น้ำต่อหน้าต่อตา รุ่งขึ้นศพนายอินลอยขึ้นมาพบว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้องเช่นเดียวกับนายอุดม นับจากนั้น
การไล่ล่าเริ่มขึ้นจระเข้กินคนก็เริ่มขึ้น โดยทีมแรกเป็นกลุ่มของ ส.ต.อ.บุญโชติ และครูสมพงษ์ ซึ่ง
เป็นเพื่อนกับนายอินถึงกับลาราชการเพื่อออกล่าจระเข้ล้างแค้นแทนเพื่อน โดยร่วมกับนายแดง เจ้า
ของโรงสีแต่การล่าไม่ประสบความสำเร็จแถมนายแดงเกือบต้องเอาชีวิตมาทิ้ง ด้วยคมเขี้ยวของ
จระเข้ยักษ์ เมื่อเรือของนายแดงที่ทำหน้าที่คัดท้ายเรือพลิกคว่ำก็โดนจระเข้เข้าโจนตี แต่รอดมาได้
เพราะทีมไล่ล่าระดมยิงปืนเข้าใส่จระเข้ที่กำลังจะพุ่งเข้าหานาย แดงที่กำลังลอยคออยู่ในน้ำ เพราะ
จระเข้โผล่ขึ้นมาจนเห็นได้ชัดเจนว่าามันมีสีดำทั้งส่วนลำตัวและส่วนหัว ยกเว้นที่คอเท่านั้นที่มีสีขาว
คาดอยู่รอบลำคอ จึงเป็นที่มาของชื่อ ” ไอ้ด่าง ” นั่นเอง
จาก เหตุการณ์ในวันนั้นข่าวของไอ้ด่างจระเข้ยักษ์กินคนก็โด่งดัง จึงมีคำสั่งให้ตำรวจหน่วยพลร่ม
“เสือดำ” 2 นาย จากค่ายนเรศวรหัวหินร่วมกับชาวบ้านและคณะของ ส.ต.อ.บุญโชติ โดยการตีวง
โอบล้อมตั้งแต่ปากอ่าวตะโกและจากคลองบางมุดเข้าหากัน การติดตามค้นหาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งตอน
เย็นไอ้ด่างก็ปรากฏตัวขึ้นเรือของ ส.ต.อ.บุญโชติและครูสมพงษ์ซึ่งพบเห็นจึงได้บอกให้คนคัดท้ายเรือ
ชื่อนายหนึด เร่งพายเข้าไปใกล้ๆเพื่อจะได้ยิงในระยะหวังผล แต่นายหนึดกลับกลัวจนพายเรือไม่ได้
ทำให้พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดายแต่ในวัน รุ่งขึ้นชาวบ้านสองคนก็ผวากับไอ้ด่างอีกครั้ง เมื่อมัน
โผล่มาระหว่างเรือทั้งสองลำของชาวบ้าน และเรื่องนี้ทำให้ครูสมพงษ์ได้อาสาออกไปนั่งห้างพร้อมกับ
ปืนไรเฟิล โดยใช้สุนัขผูกไว้บนแพเพื่อล่อไอ้ด่าง เช่นเดียวกับชุดไล่ล่าของตำรวจซึ่งก็คว้าน้ำเหลว
นอกจากนั้นยังมีชายคนหนึ่งชื่อนายหะหมัด อายุ 65 ปี ชาว ต.เขาสง อ.ท่าชนะ เป็นพรานจระะเข้
ใช้วิธีลุยเดี่ยวลงเรือเล็กไปล่าไอ้ด่าง โดยพรานจระเข้รายนี้บอกว่าเขาเคยล่าจระเข้ด้วยหอก
ประจำตัวมาแล้วถึง 15 ตัว แต่แม้จะมีการออกไล่ล่าไอ้ด่างทุกวันแต่ก็ไม่มีใครสามารถล่าจระเข้กิน
คนตัว นี้ได้ จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันที่ 1 กันยายน ทำให้ชื่อเสียงของไอ้ด่างคลองบางมุดเข้าไป
เกาะกุมสร้างความหวาดผวาให้กับผู้ คนทั่วประเทศ ความโด่งดังของมันถึงขนาดมีคณะถ่ายทำ
ภาพยนตร์ไล่ตามพรานจระเข้เพื่อถ่ายทำ เป็นภาพยนตร์สารคดีไปทุกระยะเตรียมส่งฉายทั่วโลก
โทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม ปัจจุบันคือช่อง 9 อสมท. ก็ทำสารคดี ” สองฟากทางรถไฟ ” แพร่
ภาพเรื่องของ ” ไอ้ด่าง ” ฉายออกทั่วประเทศ
เรื่องมันยาวมากขอรวบรัดเอาตอนจระเข้โดนจับเลยก็แล้วกัน
การ ไล่ล่าไอ้ด่างครั้งใหญ่จบลงด้วยความล้มเหลว ซึ่งหลายคนคาดว่าเป็นเพราะก่อนหน้านั้นมีการไล่
ล่าอยู่หลายครั้งรวมถึงช่วง นั้นระดับน้ำขึ้นสูงและมีน้ำเหนือไหลบ่าทำให้น้ำเชี่ยวกรากจระเข้น้อยใหญ่
ถูกรบกวนจึงย้ายถิ่นหนีไปอยู่ที่อื่น จากเหตุดังกล่าวทำให้พักการออกล่าจระเข้ยักษ์ไว้ชั่วคราวจนกว่า
น้ำจะลดลงสู่ ระดับปกติ
แต่ หลังจากนั้นไม่นานในวันที่ 18 พฤศจิกายน บริเวณคลองเขาปีบเขตติดต่อระหว่าง อ.หลังสวน
กับ อ.สวี ไอ้ด่างก็ปรากฏตัวอีกครั้ง โดยครั้งนี้มันคาบเอานายช้วน พิมาน ชาวบ้านในคลองเขาปีบ
แล้วดำหายลงไปในคลองนั่นเอง ทำให้ชาวบ้านในคลองเขาปีบไม่มีใครกล้าพายเรือในคลองนี้ และ
เรื่องของนายช้วนทำให้ ส.อ.ห้วง พิมาน กับ ส.อ.จำนง พิมาน ญาติของนายช้วนซึ่งเป็นทหาร
ประจำค่ายทหารบกชุมพรไปรายงานผู้บังคับบัญชาขอลา และขออนุมัติตามล่าจระเข้ยักษ์โดยใช้อาวุธ
ซึ่งผู้บังคับบัญชามีคำสั่งอนุญาต ในการออกเดินทางครั้งนี้นอกจาก ส.อ.ห้วง พิมาน และ ส.อ.จำนง
พิมาน แล้วได้มีผู้ร่วมเดินทางไปปราบจระเข้ยักษ์อีก 4 คน คือ ร.ท.ลิขิต จันทโรทัย, ร.ท.มาโนช
เขียนยาคำ, ส.อ.ละออ นาคจิตติ ขณะที่คณะล่าจระเข้ไปถึงได้พบว่าชาวบ้านประมาณ 100 กว่าคน
พร้อมด้วยอาวุธปืนและฉมวกกำลังค้นหาจระเข้ยักษ์และศพนายช้วน ตีแนวขนานทั้งสอง ซึ่งในที่สุดได้
ค้นพบศพนายช้วน อยู่ใต้รากไม้ริมตลิ่ง ถูกไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ลากไปขัดไว้ และไม่มีทางที่จะดึงออกมา
ได้ ต้องให้นักประดาน้ำดำลงไปใช้เชือกผูกศพแล้วใช้คนกว่า 20 คนช่วยกันดึงจึงลากศพนายช้วนออก
มาได้ ปรากฏว่าศพนายช้วนมีสภาพที่แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี จาก แหล่งที่พบศพของนายช้วนทำให้คณะที่
ติดตามไล่ล่าไอ้ด่างรู้ว่ามันอยู่ใน บริเวณนั้น ส.อ.ห้วง ได้ใช้ระเบิดลงไปในบริเวณที่เป็นแหล่ง
กบดานของไอ้ด่าง โดยระเบิดลูกที่สองทำให้ไอ้ด่างต้องออกมาจากที่ซ่อนใต้น้ำของมัน และรีบว่ายน้ำ
หนีแต่ก็ไปไม่รอดเมื่อระเบิดลูกที่สามโดนขว้างเข้าใส่ เป็นการปิดฉากความโหดร้ายของจระเข้ยักษ์
กินคน ” ไอ้ด่างคลองบางมุด “
จาก การวัดซากของไอ้ด่างมีความยาวจากหัวถึงหาง 4.25 เมตร รอบตัว 1.75 เมตร จากหัวถึง
คอ 25 นิ้ว อ้าปากกว้าง 20 นิ้ว และเป็นจระเข้ตัวเมียเพราะก้อนขี้หมาบนจมูกของมันนูนโผล่ขึ้นมา
เล็กน้อย หลังจากนั้นชำแหละซากไอ้ด่างเพื่อทำสต๊าฟไว้ เมื่อผ่าลงไปในท้องก็พบกระดูกในท้องไอ้
ด่างมากมาย และยืนยันได้ว่ากินคนแน่
หลังจากผ่าชำแหละแล้วได้พบบาดแผลที่เห็นได้อย่างชัดเจนในซาก ” ไอ้ด่าง ” ดังนี้
ขา หน้าด้านขวาถูกกระสุนปืนลูกโดดฝังในด้านซ้ายของลำตัว เนื้อเละไปทั้งแถบ ด้านคอขวาเป็นรู
เน่าซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ไอ้ด่างพบจุดจบ ส่วนสันหลังบริเวณกว้างยาว 1 ศอกยุ่ยเป็นรอยไหม้ ซี่โครง
หักหลายซี่เพราะถูกแรงระเบิด โดยเฉพาะเมื่อผ่าแหวะกระเพาะของไอ้ด่างทำให้นายบุญถึงและเจ้า
หน้าที่ 10 กว่าคนต้องตะลึงเมื่อพบว่า นอกจากเศษอิฐ เศษหินแล้วยังพบกระโหลกมนุษย์ถึง 2 หัว
ยังอยู่ในสภาพมีเศษผมติดบนหนังศีรษะอยู่ นอกจากนี้ยังพบกระดูกส่วนขากับสะบ้าจากเข่าคน และนอก
จากนั้นยังมีตะขอเหล็กขนาดใหญ่อีกหนึ่งตัวด้วย
และ จากการพบส่วนกระโหลกศีรษะมนุษย์ทั้ง 2 หัวจากท้องของจระเข้ยักษ์ตัวนี้ เป็นการยืนยันได้
ชัดเจนว่ามันคือไอ้ด่างอย่างแน่นอน และนอกจากนั้นยังเป็นบทพิสูจน์ได้ด้วยว่าไอ้ด่างเคยกินคนมาก่อน
หน้านี้แล้ว เพราะศพที่มันกินครั้งหลังสุดที่เป็นข่าว 6 คน มันกินเฉพาะส่วนท้องเท่านั้น
สำหรับ ซากของไอ้ด่าง มีการถูกซื้อขายกันไปหลายครั้งเพื่อนำไปแสดงโชว์ ซึ่งทุกครั้งก็ได้รับความ
สนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมาก โดยครั้งสุดท้ายถูกขายไปในราคา 23,000 บาท ให้กับนายไห้ แซ่เซ็ง
แม้วันเวลาจะผ่านมาเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว ตำนานความโหดร้ายของ ” ไอ้ด่างคลองบางมุด ” ยัง
คงเป็นที่จดจำของคนไทยอีกหลายคน และในช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาก็ยังถือว่าโชคดีที่ไม่มีไอ้ด่างตัวที่
3 ออกมาสร้างความสยดสยองให้กับคนไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก one55

ที่มา: http://www.patjaa.com/

มาดูกันว่าสาวขับบิ๊กไบค์ที่กำลังดัง เมื่อถอดหมวกกันน็อคออกมาแล้ว จะสวยขนาดไหน..


สืบเนื่องจากที่โลกโซเชี่ยลทั้งในกลุ่มผู้ รักมอไซค์ และเพจทั่วๆไปได้แชร์รูปสาวขับบิ๊กไบค์คนหนึ่ง ถึงแม้จะตัวเล็กไปเมื่อเทียบกับบิ๊กไบค์คันใหญ่ๆ แต่เรียกได้ว่าใจเธอนั้นถึง วันนี้เรามาดูกันว่าเมื่อเธอถอดหมวกกันน็อคออกมาแล้ว จะสวยขนาดไหน.. ไม่ต้องรอช้า ไปชมกันเลย






 ที่มา:http://board.postjung.com/882745.html

ชาวบ้านลพบุรีนับร้อยแห่กราบไหว้ รอยเศษ ผงปูนซีเมนต์ เชื่อ พยานาคหรือไม่ก็พญาครุฑ


ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า มีชาวบ้านวังกระทุ่ม อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี นับร้อยพากันกราบไหว้ขอหวยและมุงดูเศษผงปูนซีเมนต์ หลังคนงานก่อสร้างทำเศษผงปูนเมนต์ตกบริเวณไซต์งานก่อสร้าง ชาวบ้านบางคนมองเห็นเป็นรอยพญานาคราช บางคนมองเห็นเป็นรอยพญาครุฑ บางคน ก็มองไม่เห็นอะไร บางคนก็แค่ร่องรอยลมพัดเศษผงซีเมนต์จนกระจายกลายเป็นรูปร่างต่างๆ

 ที่มา: http://board.postjung.com/882717.html

Saturday, May 30, 2015

ฝรั่ง งง!! เดินรอบพระธาตุดอยสุเทพครบ3 รอบเจอตัวเลขตรงหน้า เธอบอกเลขที่เห็นคือ...


ฝรั่ง งง!! เดินรอบพระธาตุดอยสุเทพครบ3 รอบเจอตัวเลขตรงหน้า เธอบอกเลขที่เห็นคือ...



ฝรั่งสาวงงหนักเห็นเลข 3 ตัวโต ๆทั้งๆที่คนอื่นมองไม่เห็น หลังเดินทางมากราบไหว้พระธาตุดอยสุ

เทพแล้วได้เดินรอบพระธาตุทำให้เลขที่เห็นขายหมดเกลี้ยงแผงภายในวันเดียว


เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2558 นางศรีนวล ญาติของฝรั่งที่อ้างว่าตัวเองเห็นเลข 3 หลักตัวโต ๆ

หลังจากเดินรอบพระธาตุครบ 3 รอบ เหตุการณ์มีอยู่ว่า นางแคททรอลีน ก้มกราบพระธาตุดอยสุเทพ

ตามปกติ แล้วก็ได้เดินรอบพระธาตุกับนางศรีนวลตามปกติ




แต่พอมีเดินครบ 3 รอบก็ก้มกราบตามปกติแต่นางแคททรอลีนได้บอกกับตนว่าเห็นเลขอะไรตรง

หน้ามั้ย ตนก็บอกว่าไม่เห็น ตนจึงถามหลายชายของตนว่าเห็นตัวเลขที่นางแคททรอลีนเห็นมั้ย หลาย

ชายก็บอกว่าไม่เห็นตนจึงถามว่าเลขที่เห็นเป็นเลขอะไร แคนทรอลีนจึงบอกเลขที่เห็นคือ *618 *นั่น

เองแต่เป็นความบังเอิญหรือไม่บรรดาแม่ค้าที่ได้ยินก็รีบแห่ไปซื้อเลขเด็ดตามเคย...




........................

ทีมา : สยาม55 ดอทคอม

ปริศนานครสวรรค์ 2/06/58 ปริศนาหวยดัง มาแล้ว



ปริศนานครสวรรค์ 2/06/58 ปริศนาหวยดัง มาแล้ว ลองไปดูคำใบ้ ปริศนาหวยนครสวรรค์ 2

มิถุนายน 2558 กันเลย

ปริศนานครสวรรค์2/06/58


"ปลาห้าหัวขึ้นบน



เต่าสี่ตัวลงล่าง"



หวยเด็ด สถิติหวยออกเดือนมิถุนายน สถิติหวยออกวันอังคาร ทํานายฝันเลขเด็ด เลขเด็ดอาจารย์ดัง

ทั้ง หลวงพ่อปากแดง เจ้าแม่ตะเคียนทอง ม้าสีหมอก

ที่มา : www.siam55.com/news25428.html

เผยเหตุสรีระสังขาร หลวงพ่อคูณ ทำไมเป็นสีชมพู?


(30 พ.ค.) รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น กล่าวว่า การที่

สื่อมวลชนได้นำเสนอสีผิวของหลวงพ่อคูณขณะที่สรีระดองอยู่ในอ่างเก็บ สรีระสังขารในน้ำยา ขณะนี้สี

ผิวของท่านยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่สีผิวของท่านเป็นสีผิวชมพูมาตั้งแต่เคลื่อนสรีระสังขารของท่านมา

จาก จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 16 พ.ค.แล้ว


แฟ้มภาพ




โดยถือว่าเป็นปกติ เพราะสีผิวของอาจารย์ใหญ่ ในกรณีฉีดน้ำยารักษาสภาพก่อนที่จะดองในช่วงสวด

พระอภิธรรม มีได้หลายแบบขึ้นอยู่กับว่าร่างกายของครูใหญ่แต่ละท่านเป็นอย่างไร



บางท่านเจ็บป่วยและได้ยาอะไร บางท่านมีอาการป่วยเช่นไตวายมีของเสียคั่งในร่างกาย ก็ทำให้มีสี

ผิวต่างๆ ที่เปลี่ยนไปตามสภาพของสิ่งที่ได้รับไป เป็นส่วนประกอบในเลือด เนื้อเยื่อต่างๆ ก็เป็นไป

ได้ ทำให้มีสีผิวแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นสีคล้ำดำ สีเขียวอ่อนหรือแก่



ในกรณีหลวงพ่อคูณ ได้มีอาพาธกะทันหัน พร้อมกับละสังขารไปภายใน 24-48 ชั่วโมง ทำให้องค์

ประกอบในร่างกายของท่านเป็นไปตามธรรมชาติ สรีระสังขารของท่านจึงเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์

ไม่มียา ไม่มีสารอะไรเข้าไปเจือปนในสรีระของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ผิวหนังของหลวงพ่อคูณ

เกือบจะเหมือนคนปกติ ที่ผิวหนังจะเป็นสีชมพูเหมือนแรกเกิด



ล่าสุด ระบบวงจรปิดที่ใช้ถ่ายทอดสัญญาณจากห้องเก็บอ่างดองสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ ชั้น 7 คณะ

แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลงมาที่บริเวณชั้น 1 อาคารผู้ป่วยก. มีความพร้อมแล้วโดยจะใช้

ทีวีขนาด 60 นิ้ว มาติดตั้งข้างรูปของหลวงพ่อคูณ ซึ่งจะสามารถติดตั้งได้ภายในวันพรุ่งนี้(31 พ.ค.)



ส่วนการถ่ายทอดสัญญาณไปยังการจัดงานที่จังหวัดนครราชสีมาครบ 15 วันที่หลวงพ่อคูณละสังขารขณะ

นี้ได้ส่งสัญญาณผ่านระบบยูทูปและระบบเทเลคอนเฟอร์เรนซ์แล้ว

ที่มา : สนุก

หลอนๆก่อนนอน!! กับ 10 เรื่องหลอนชวนขนหัวลุกในโรงเรียนไทย!!


วันนี้เรามีเรื่องราวชวนขนลุกมานำเสนอก่อนนอน ^^


10. ลองดีจนเจอดี..


เรื่องลอง ของในโรงเรียนเนี่ยเป็นของคู่กันจริงๆ และยิ่งเป็นโรงเรียนที่มีเรื่องเล่า ตำนานหลอนๆ เด็กทั้งหลายก็อยากจะไปพิสูจน์ว่ามีจริงมั้ย แบบเด็กคนนี้ที่จู่ๆ ก็ล้มตึงลงไป ตัวสั่น ตาเหลือก ตะโกนโวยวายไม่เป็นภาษา ทำเอาเพื่อนๆ แล้วครูต่างพากันตกใจ เพื่อนจึงได้บอกว่าเค้าพยายามที่จะเห็นผี เลยพูดจาท้าทาย และมองลอดหว่างขา พร้อมกับใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปไว้ เพื่อนเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ทุกคนจึงคิดว่านี่คืออาการผีเข้า เพราะใครที่ดูรูปที่เค้าถ่ายได้ก็ต้องตาค้าง หน้าซีดกันหมด จนต้องเอาพระมาแขวนคอ จึงสลบไป ทางอาจารย์สอนวิชาพระพุทธศาสนาเลยได้เข้ามาช่วยโดยการสวดมนต์ อุทิตส่วนกุศล และบอกว่าจะพาเด็กไปบวชชีพราหมณ์ให้ ส่วนรูปก็จะลบทิ้ง และเอาโทรศัพท์ไปให้ที่วัดทำพิธี พอพูดเสร็จรุ่นพี่คนนั้นก็เหมือนจะรู้สึกตัว และงงกับเหตุการณ์นั้น



9. ผีถ้วยแก้วมาเอง

เป็นเรื่อง ธรรมดาของกลุ่มเพื่อนในโรงเรียนที่ตอนพักกลางวัน หรือเลิกเรียนจะมานั่งเล่นผีถ้วยแก้วกัน แต่ใครจะไปคิดว่านั่งเล่นกันอยู่ดีๆ เพื่อนคนนึงในกลุ่มก็นั่งตาค้างปากค้าง หน้าตาตกใจกลัวสุดขีด จนสุดท้ายก็ร้องกรี๊ด น้ำตาไหล เพื่อนก็ทำอะไรไม่ถูก รีบไปเรียกครูมาช่วย แต่พอครูมาถึงเด็กคนนั้นก็กรี๊ดจนสลบไปแล้ว ซึ่งพอตื่นขึ้นมาเธอก็ได้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่เล่นกันอยู่นั้นเธอเห็นผู้หญิงแต่งตัวเหมือนแม่บ้าน เดินถือไม้กวาดเข้ามาในห้อง จนมาหยุดอยู่ที่วงผีถ้วยแก้วของเธอและเงยหน้าขึ้นมาจ้องเธอ ทำให้เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีตาดำ แถมยังมีเลือดออกเต็มตัว พอเธอเริ่มกรี๊ดเค้าก็เขยิบเข้ามาใกล้เธอมาขึ้นจนเธอหมดสติไป ครูจึงบอกว่านั้นอาจจะเป็นแม่บ้านที่ตกตึกเสียชีวิตก็ได้



8. เมื่ออาจารย์เดินตรวจตึก

เกิด ขึ้นที่โรงเรียนชายล้วนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งกฎไว้ว่าห้ามนักเรียนอยู่บนห้องระหว่างพักเที่ยง จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องมีอาจารย์มาเดินตรวจตามตึก ระหว่างที่เดินๆ อยู่นั้นก็เห็นเด็กคนนึงเดินเข้าห้องไป ครูจึงเดินตามไปเพื่อที่จะได้จับได้แบบคาหนังคาเขา พอไปถึงหน้าประตูครูก็มองเข้าไป กลับไม่เห็นใคร จึงคิดว่าตาฝาด จึงเดินผ่านไป แต่ขณะที่กำลังจะผ่านประตูหลังของห้องก็เหลือบเห็นเด็กคนนึงนั่งตัวสั่นอยู่ หลังห้อง ครูจึงตะโกนถามว่า "เธอมานั่งทำอะไร...ลงมาเดี๋ยวนี้นะ" เด็กคนนั้นหันกลับมามองหน้าครูด้วยใบหน้าที่ซีด และเต็มไปด้วยเลือด ตาข้างนึงหายไปและพูดว่า "ผมหนาว..." เท่านั้นแหละครูรีบวิ่งแบบไม่คิดชีวิต พอลงมาจึงได้เล่าเรื่องให้เพื่อนครูฟัง เพื่อนครูจึงพากันสันนิฐานว่า อาจจะเป็นเด็กที่ถูกรถชนเมื่อปีที่แล้วก็ได้ เพราะห้องที่เกิดเหตุคือห้องเรียนของเค้า


7. พานไว้ครูสุดหลอน

หนึ่งวัน ก่อนงานไหว้ครูของโรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่ง เด็กๆ สายนาฏศิลป์ก็ตกลงกันว่าจะทำพานเป็นรูปนางรำ เพื่อสื่อถึงสายของตัวเอง จึงได้มาทำพานกันที่ห้องว่างชั้นเดียวกับห้องซ้อมรำ เวลาล่วงเลยมาถึง 1 ทุ่มพานก็ใกล้จะเสร็จ เพื่อนคนนึงเลยพูดว่าเปลี่ยนหน้าของนางรำดีมั้ย วาดใหม่มั้ย เพราะหน้าที่วาดลงบนพาสติกสีขาว เหมือนนางรำกำลังโกรธและดุใครอยู่ แต่ตอนนั้นทุกคนอยากจะกลับบ้านจึงบอกว่าไม่เป็นไรหรอก พอเวลา 3 ทุ่มพานก็เสร็จ ก่อนกลับจึงได้ถ่ายรูปกับพานเป็นที่ระลึก พอกดถ่ายเสร็จเท่านั้นแหละ ไฟก็ดับ ทุกคนร้องกรี๊ด และจู่ๆ ก็ขนลุกอย่างไม่มีสาเหตุ และยิ่งกลัวกันมากขึ้นเมื่อมาดูรูปที่ถ่าย เพราะหน้าของนางรำบนพานนั้นหายไป...และยังมีคนใส่ชุดนางรำยืนอยู่ตรงมุมขวา ของรูป!!


6. พวกเค้ามาดี

ใครที่เคยอยู่วง โยธวาทิตของโรงเรียนคงน่าจะรู้ดีว่าตอนซ้อมก่อนไปแข่งขันนั้นมันเลิกดึกแค่ ไหน ของโรงเรียนชื่อดังย่านฝั่งธน ที่อยู่ติดกับแม่น้ำเค้าก็ซ้อมกันหนักเหมือนกัน จนทำให้เจอเรื่องสยองนี้ขึ้น ก่อนวันแสดงจริงหนึ่งวันทุกคนก็ได้มาซ้อมกันครั้งสุดท้ายที่ห้องประชุมใหญ่ พอซ้อมเสร็จรอบที่หนึ่งก็มีภารโรงคนนึงเปิดประตูเข้ามาและถามคำถามแปลกๆ ว่า "อ่าว ผู้ปกครองที่มาดูซ้อมใหญ่หายไปไหนแล้ว ว่าจะเอาเก้าอี้มาให้" ครูและเด็กก็ได้แต่มองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร พอซ้อมเสร็จรอบที่สองคราวนี้เสียงผนังห้อง และเสียงกระจก ที่เหมือนมีคนเอามือไปทุบก็ดังขึ้นรอบห้อง ทำเอาเด็กกลัวและรีบวิ่งมารวมกัน ครูที่ตั้งสติได้เลยพูดขึ้นมาว่า "ขอบคุณครับ...ไม่ต้องตบมือก็ได้" พอพูดจบเสียงนั้นก็หายไป อาจารย์เลยบอกว่านี่อาจจะเป็นวิญญาณของครู อาจารย์ และคนในโรงเรียนที่มาให้กำลังใจตอนเราซ้อมก็ได้นะ..


5. แสงไฟปริศนาในโรงยิม

ก่อนถึง วันแข่งกีฬาสีแห่งหนึ่งของโรงเรียนในจังหวัดสมุทรปราการ นักกีฬาวอลเลย์บอลก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน มัวแต่ซ้อมจนถึง 2 ทุ่มกว่า ที่อยู่ๆ ไฟในโรงยิมก็ดับ!! ทั้งหมดตกใจมากและได้มายืนรวมกลุ่มกัน แต่พอมองไปอีกฝั่งนึงกลับเห็นเหมือนคนกำลังจุดไฟแช็คขึ้น แต่มองไม่เห็นหน้า และก็ไม่รู้ว่าเป็นใครทั้งหมดจึงคิดว่าอาจจะเป็นยามก็ได้ เลยเดิมเข้าไปหาไฟ แต่พอใกล้จะถึง ไฟนั้นก็ดับไป และมีเสียงกดไฟแช็คขึ้นที่ข้างหลัง เท่านั้นแหละทุกคนจึงกรี๊ดละคิดว่านี่ไม่ใช่คนแน่ๆ เพราะคงไม่มีใครเดินได้เร็วขนาดนั้น บางคนก็กลัวถึงขั้นร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่ไฟก็ยังเปลี่ยนจุดไปเรื่อยๆ เพื่อนที่ได้สติเลยพากันหาทางออก แต่พอกำลังจะเปิดประตูไฟในโรงยิมก็สว่างขึ้น ทำให้เห็นว่าในห้องนั้นไม่มีใครเลยนอกจากพวกเค้า


4. เด็กที่หายไป?

เรื่องนี้เด็ก สาธิตฯ คงอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่ดาดฟ้าชั้น 6 ที่ในอดีตเป็นที่เก็บของน้องนาฏศิลป์ คืนนั้นเด็กชมรมนาฏศิลป์ซ้อมการแสดงกันดึก จึงได้ขอนอนที่โรงเรียน กลางดึกหลังจากที่ปิดไฟนอนได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังมาก ทั้งหมดตกใจ แต่ก็โล่งใจ เพราะในที่สุดคนเคาะก็พูดว่า "นี่ลุงยามเอง เปิดให้ที" พอเปิดประตูให้ก็เห็นสีหน้าที่ตกอกตกใจของแก แกได้ถามว่า ในห้องนี้เด็กอยู่ครบรึเปล่า? เด็กๆ จึงได้หันไปมองเพื่อนซึ่งก็เห็นว่าครบดี ไม่มีใครหาย จึงถามว่ายามถามทำไม แกเลยตอบว่าเมื่อกี้ไปเดินดูบนดาดฟ้าชั้น 6 เห็นเด็กผู้หญิงคนนึงกำลังซ้อมรำอยู่ พอลุงเรียกบอกให้เข้านอนได้แล้ว เด็กคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนตกลงไปในที่สุด!! ซึ่งปัจจุบันว่ากันว่ายาม หรือเด็กบางคนก็ยังคงเจอเรื่องแบบนี้อยู่


3. เรื่องเกิด ณ ห้องคอมฯ

รง เรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่ได้ปิดตึกหลังเก่าไปได้สักพัก แต่ตามหน้าที่ของยามก็ต้องเดินตรวจความเรียบร้อยอยู่ดี ซึ่งพอเดินผ่านห้องคอมพิวเตอร์เก่า ก็เห็นไฟ และแอร์เปิดอยู่ จึงเปิดประตูเข้าไปปิดมัน ด้วยความสงสัยและงง เล็กน้อย แต่พอเข้าไปในห้องก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวเหมือนอาจารย์ กำลังก้มๆ เงยๆ ทำอะไรกับคอมฯ ก็ไม่รู้ แกเลยถามไปว่า "อาจารย์มาซ่อมมันทำไมครับ ไม่มีใครใช้แล้วหนิ" พอผู้ชายคนนั้นหันมาเท่านั้นแหละ ภารโรงถึงกับอึ้ง ขาแข็ง วิ่งก็วิ่งไม่ออก เพราะหน้าของอาจารย์ดำทะมึน เหมือนโดนไฟไหม้ แถมตายังไม่มีอีก!! แกจึงรีบวิ่ง และไปถามภารโรงคนเก่าที่เคยอยู่ตึกนี้ จึงได้คำตอบว่าคนนั้นคืออาจารย์สอนคอมที่โดนไฟช็อตในห้องคอมจนตาย ซึ่งแกเฮี้ยนมากจึงปิดตึกซะเลย


2. เด็กดอง ณ ห้องวิทย์

เป็น ธรรมดาที่ในห้องวิทยาศาสตร์โรงเรียนใหญ่ๆ จะมีการเอาสัตว์ดอง อวัยวะดอง ไปจนถึงเด็กดองมาไว้ให้นักเรียนศึกษา โรงเรียนนี้ก็เช่นกันที่ว่ากันว่า ตั้งแต่ได้เด็กดองมาก็มีแต่เรื่องเฮี้ยนๆ เกิดขึ้น ถึงขั้นต้องเอาสายสิญจน์มาล้อมห้องไว้เลย ซึ่งเรื่องหลอนๆ ก็มีคนเล่าให้ฟังอยู่ตลอดๆ ไหนจะเด็กดองลืมตาขึ้นเอง มีคนได้ยินเสียงเด็กร้องไห้บ้าง ไปจนถึงเห็นเด็กขี่คอ!! เพราะเธอคนนี้มีสัมผัสที่พิเศษมักจะเห็น หรือได้ยินอะไรพวกนี้อยู่แล้ว วันนั้นเธอไปสอบที่ห้องนั้นพอดี เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้เด็กดองด้วยความไม่กลัวผี เลยพูดเล่นๆ ไปว่าเด็กขนาดนี้คงไม่หลอนเท่าไหร่มั้ง ซึ่งตอนสอบเธอดันเหลือบไปเห็นเพื่อน ซึ่งก็ต้องตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นเด็กดองนั้นขี่คอเพื่อนเธออยู่!!


1. เด็กใหม่เจอดี

คงเป็นความซวยของ นักเรียนใหม่คนนี้ ที่เย็นวันนั้นอาจารย์เรียกพบพอดี พอออกมาข้างนอกก็เริ่มจะมืดแล้ว แถมฝนดันตกหนักอีกซะด้วย เธอจึงได้แต่หลบฝนอยู่ตรงหน้าห้องเก็บของ ที่ยืนอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังร้องขอความช่วยเหลือ พอหันไปมองประตูของห้องเก็บของก็แง้มออก อาจจะเป็นเพราะลมที่แรงมากก็ได้ เธอเลยไม่ได้คิดอะไร แต่จู่ๆ ก็ขนลุกซู่ เพราะเหมือนมีคนมากระซิบที่ข้างหูว่า "ช่วยด้วย" เธอจึงชะโงกหน้าเข้าไปที่ห้องนั้น เพื่อดูว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ แต่ภาพที่เห็นก็ทำเอาเธอแทบหยุดหายใจ เพราะมีผู้หญิงนอนอยู่ เลือดไหลเต็มตัว เธอจึงรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากภารโรง แต่พอกลับมาก็ทำเอางงไปตามๆ กัน เพราะประตูห้องนั้นมีกุญแจล็อกอยู่ ภารโรงจึงได้แต่ปลอบใจและเล่าเรื่องให้ฟังว่า แต่ก่อนห้องนี้คือห้องดนตรีไทย แต่มีเด็กผู้หญิงมาตกเลือดตายในห้อง แถมยังหลอกหลอนคนไปทั่วเลยต้องปิดตายไว้นั่นเอง

ที่มา : http://variety.teenee.com

















เมื่อ ตำรวจกำลังเขียนใบสั่ง ยายจึงโวยวาย …


เรื่องราวของ คุณยาย ที่เจอกับ ตำรวจกำลังเขียนใบสั่ง งานนี้มีดราม่าหนัก เมื่อต่างคนต่าง
เถียง ไม่ยอมกัน สุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร ใครแพ้ ใครชนะ ต้องติดตามครับ 555

คือ เรื่องมีอยู่ว่า ….
ตายายออกจากร้านอาหาร เดินมาที่รถเก๋ง เห็นตำรวจกำลังเขียนใบสั่ง ยายจึงโวยวาย ต่อว่า
ตำรวจว่า ….

เขียนใบสั่งทำไม ใจร้าย เขียนใบสั่งหวังเปอร์เซนต์ค่าปรับเหรอ

ตำรวจก็เขียนใบสั่งเพิ่มอีกใบ ฐานหมิ่นพนักงาน
ยายยิ่งด่า ตำรวจก็ยิ่งเพิ่มใบสั่ง แปะไว้จนรอบคันได้ซักยี่สิบใบมั้ง

ยายจึงถามว่า “พอใจรึยัง”

ตำรวจก็ย้อนถามว่า “ยายล่ะ ด่าพอใจรึยัง รึจะเอาเพิ่มอีก”


ยายจึงบอกตำรวจว่า “อยากเขียนเพิ่ม แกก็เขียนไปสิ ชั้นไม่มีเวลาจะด่าแกแล้ว เพราะรถนั่นไม่
ใช่รถชั้น ไปละนะ รถเมล์ มาพอดี”

เรื่องเล่าจาก : Forword mail
.......................
ทีมา : http://www.tamsabye.com/เมื่อ-ตำรวจกำลังเขียนใบ/

ย้อนดูคดีดังที่สะท้อนถึงจุดต่ำสุดของความเป็นมนุษย์ "พรหมพิราม"


คดีที่สะท้อนถึง จุดต่ำสุดของความเป็นมนุษย์

"คดี พรหมพิราม"

อาชญากรรมทางเพศที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
พาดหัวข่าวหน้า1นสพ.ไทยรัฐ .29ส.ค.2520

เรียงคิว 30 คน ฆาตกรสารภาพเผยนาทีฆ่าโหด "จับสาวให้ม้าเหล็กขยี้"

เผยสาวหัวขาดคดีข่มขืนโหด ผัวยืนยัน30คนเถื่อนโทรมเมียตาย

รองนายกระบุข่มขืนสาวให้รถไฟทับโหดร้ายทารุณ"ไม่พ้นม.21แน่"

สั่งย้ายที่คุมขัง 8 มนุษย์บ้ากามพบแผนแหกโรงพักหนีคดีข่มขืนโหด

ถ้อย คำเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนของข้อความพาดหัวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐในช่วงเดือน สิงหาคมจนถึงกันยายนในปีพ.ศ.2520 เป็นข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นในปีเดียวกันกับที่ขวัญใจชาวไทยไอ้แสบ แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์นักมวยขวัญใจชาวไทยเพิ่งขึ้นชกชนะนักมวยชาวต่างชาติ อาชญากรรมสะเทือนขวัญที่กล่าวได้ว่าไม่เพียงสร้างความอัปยศให้กับพี่น้องชาว พรหมพิราม จ.พิษณุโลก จากการที่อมนุษย์จำนวน 30 ชีวิตก่อกรรมอันเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์รุมข่มขืนกระทำชำเราหญิงสาว ต่างถิ่นด้วยความไร้จิตสำนึก ปราศจากมนุษยธรรม เป็นการกระทำที่มนุษย์ไม่พึงกระทำต่อกัน สะท้อนถึงศีลธรรมที่ไม่มีอยู่ในใจของคนกลุ่มหนึ่งที่เกิดมาในเมืองไทยที่ได้ ชื่อว่าเมืองพุทธ นี่คืออุทาหรณ์ครั้งสำคัญที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยใด ถ้าการ์ดรถไฟไม่ไล่หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายลงจากรถไฟเพราะไม่มีเงินจะตีตั๋ว เหตุการณ์เลวร้ายจะไม่เกิดขึ้นถ้าความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ฝังอยู่ในจิตใต้ สำนึกของคน คดีอัปยศจะไม่เกิดขึ้นถ้ากลุ่มคนทั้ง 30 ชีวิตมีความเป็นคน



เรื่องราวความเป็นมาของคดี


ข่าว นี้ในสมัยนั้นคึกโครมมาก เพราะมีผู้ต้องหาถึง 30 คนหรือมากกว่านั้น เรียกได้ว่าแทบจะหมดหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ และไทยรัฐนำเรื่องหรือการสอบสวนผู้ต้องหามาลงรายละเอียดในหน้า 1 ทุกวัน ผู้ต้องหารายสุดท้าย สารภาพว่า ข่มขืนผู้หญิงนี้ไปรอบหนึ่งแล้ว และผู้หญิงเดินไปล้างเลือดที่ข้างบ่อน้ำ จำเลยได้ตามไปจะข่มขืนซ้ำอีก แต่ผู้หญิงบอกว่า ไม่พออีกหรือ และพยายามขัดขืน จึงจับผู้หญิงมานั่งพิงแบบกึ่งนั่งกึ่งนอนที่โคนต้นไม้และลงมือข่มขืน พร้อมกับบีบคอไปด้วย จนเสียชีวิตในที่สุด

หลังจากข่าวนี้ก็มี การสืบหา การ์ดรถไฟคนที่ไล่ผู้หญิงลงจากรถ ก็พบตัว โดยการ์ดนั้นสารภาพว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ซื้อตั๋วรถ โดยอ้างว่าไม่มีเงิน เพราะกำลังจะไปตามสามี ขอนั่งไปลงพิจิตร แต่การ์ดไม่อนุญาต โดยอ้างว่าผิดระเบียบ และไล่ให้ลงที่สถานีพรหมพิราม ซึ่งเป็นสถานีเล็กๆจนต้องมาประสบชะตากรรมดังกล่าว


ประเด็นนี้มีการพูดถึงอย่างกว้างขวางมากว่าทำไมรถไฟต้องโหดร้ายขนาดนั้น อย่างน้อยก็น่าจะรอให้ถึงสถานีระดับจังหวัดที่มีคนหรือเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ ก่อนแล้วให้ลงก็ได้ จำได้ว่ามีพวกองค์กรสตรีกับนักการเมืองออกมาพูดกันหลายคน แล้วก็เงียบ ๆ ไปไม่รู้ว่ารถไฟยังมีนโยบายไล่ลงจากรถอีกหรือเปล่า

เรื่องจริงคดีนี้ถูกสร้างเป็นหนัง ชื่อเรื่อง "คนบาปพรหมพิราม" แต่ถูกชาวบ้าน อ.พรมพิราม รวมตัวกันคัดค้าน จึงเปลี่ยนเป็นเรื่อง "คืนบาป พรมพิราม"

สมัย นั้นมีข่าวเล็ก เสนอใน นสพ.ไทยรัฐ มีการเสนอข่าวว่า มีหญิงไทยไม่ทราบชื่อถูกรถไฟทับคอ ร่างขาด เป็น 3 ท่อนที่ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก

ข่าวนี้ทีแรกก็เป็นแค่ข่าว อุบัติเหตุธรรมดา แต่ต่อมามีการขุดคุ้ยจากนักข่าวท้องถิ่น โดยเริ่มตั้งแต่ว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนในท้องถิ่น ทำไมอยู่ดี ๆ มาถูกรถทับตายที่นี่ได้ และคนแถวนั้นก็ไม่รู้จัก ทำไมอยู่ ๆ ถึงมาที่อำเภอนี้ แสดงว่าต้องถูกฆ่าตายมาจากที่อื่นแล้วนำมาอำพรางคดี หรือ ตกรถไฟแล้วถูกรถทับตายซึ่งสมัยนั้นเกิดบ่อยเพราะพวกชอบปีนหลังคารถไฟนั่งฟรี


เมื่อตรวจเช็คที่การรถไฟ ก็ไม่พบว่าเกิดอุบัติเหตุคนตกรถไฟบริเวณนั้น และเมื่อชันสูตรพลิกศพกับไปสืบสวนในพื้นที่จึงพบความจริงที่น่าตกใจว่า

ผู้หญิง คนนั้นถูกการ์ดรถไฟไล่ลงจากรถกลางดึกเพราะไม่มีเงินค่าตั๋ว พอดีกับในช่วงนั้นมีการจัดงานบุญอะไรสักอย่าง ทำให้มีชาวบ้านที่พึ่งกลับจากร่วมงานมาจำนวนมาก มาพบกับผู้หญิงคนนี้เดินตามทางรถไฟอยู่ จึงหลอกพาไปข่มขืน

ครั้ง แรกจำนวนที่ข่มขืนก็ไม่มาก แต่มีการตามพวกผู้ชายที่เมาเหล้าจากในงานอีกมาร่วมด้วย โดยทยอยกันมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งคนสุดท้ายที่นอกจากจะข่มขืนแล้วยังเผลอบีบคอผู้หญิงคนนั้นให้ด้วย ทำให้เสียชีวิต
มีหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ทำให้ตำรวจไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ คือ เหล่าทรชน ได้ทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อสะกดวิญญาณศพด้วย

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/69100.html






Friday, May 29, 2015

เมื่อลูก "คนจน" ได้เป็น "นักบิน" และนี้คือสิ่งที่เค้าเจอ!!!


"ความฝันและความหวังของครอบครัวๆหนึ่งต้องพังทลายลงทั้งน้ำตา พ่อแม่อายุกว่า 60 ต้องขายบ้านมารับจ้างเป็นกรรมกร เพื่อหาเลี้ยงตนเองเพราะลูกชายซึ่งเป็นนักบินให้สายการบินหนึ่ง ซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว ไม่สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ เพราะถูกกลั่นแกล้งให้ออกจากอาชีพนักบิน.."


พ่อแม่ทำงานรับจ้างส่งเสียลูกชายเรียน จนสอบได้นายเรืออากาศ พอจบมาสอบได้เป็นนักบิน ต้องยอมเป็นหนี้ยืมเงินมาจ่ายค่าทุนนายร้อยให้ลูก เพื่อมีอาชีพนักบินที่ตัวเองฝันเอาไว้ว่าคงได้สบายตอนแก่


แต่แล้วลูกกลับถูกกลุ่มผู้มีอำนาจลงวันหยุดนักบินผิด ,จัดวันบินผิดไปลงในวันหยุดจนเป็นเหตุให้ขาดการบิน เมื่อนักบินทักท้วงกลายเป็นสร้างความไม่พอใจ จึงกลั่นแกล้งกระทำต่างๆนาๆ อาทิเช่นการทำเอกสารเท็จที่ส่งผลต่อการนับวันหยุดของนักบินจนเป็นเหตุให้นักบินถูกกล่าวหาว่าขาดชั่วโมงบินเกินกำหนด ทั้งนี้เมื่อนักบินมีหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ของตนนำไปแสดงกลับยิ่งถูกกลั่นแกล้งหนักกว่าเดิม

"เพราะเพียงต้องการปกปิดการกระทำที่ผิดของพวกตนในหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา" โดยการยัดเยียดข้อกล่าวหาสาระพัด อาทิเช่นกล่างหาว่านักบินเป็นบ้า มีสารเสพติดบ้าง ชี้นำหมอให้ได้ผลตามที่ต้องการ แต่พอนักบินตรวจผ่าน และยังแสดงผลตรวจจากโรงพยาบาลมีชื่อ 4ถึง5 แห่ง ว่าปกติ ไม่ได้มีสารเสพติดหรือเป็นบ้าที่ถูกใส่ความ และทั้งนี้เมื่อผลทางการแพทย์ดังกล่าวไม่เป็นไปตามความต้องการของพวกตน

เหมือนผู้มีอำนาจที่หลงผิดถือทิฐิในความมีของตน ไม่หยุดความอยากเอาชนะผู้น้อย สุดท้ายยกเรื่องเท็จที่สร้างขึ้นว่านักบินได้ขาดงานเกินข้อกำหนด มาพักงานนักบินโดยไม่ให้เงินเดือน และที่หนักสุดคือการยึดใบ License นักบินไม่ให้นักบินสามารถประกอบอาชีพของตนได้อีก ทั้งหมดนี่ไม่ต่างอะไรกับการฆ่ากันทั้งเป็น


รู้ไหม? สิ่งที่พวกคุณทำนั้นมันส่งผลให้หลายคนต้องมีชีวิตที่ลำบาก พ่อแม่อายุกว่า 60 ปี ต้องไปรับจ้างตัดหญ้า เป็นกรรมกร ทำขนมขาย มีบ้านก็ต้องขายทิ้ง ไหนจะอาม่าซึ่งอายุ80กว่า เดินไม่ไหวต้องเศร้าใจทุกข์โศกทุกวันกับลูกและหลานชาย


กว่า 2 ปีที่ผ่านมา นักบินได้เข้าร้องขอความเห็นใจจากพวกคุณ ยอมทุกอย่าง แต่พวกคุณยังอาฆาตแค้นไม่เลิก สุดท้าย..เขาเลยต้องพึ่งศาล เรียกร้องศักดิ์ศรีและความถูกต้องคืน เหมือนสวรรค์มีตา ข้อมูลหลักฐานความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผยขึ้น ศาลชั้นต้นรับฟังและมีคำพิพากษาตัดสินคดีแรกให้นักบินชนะแล้ว..เหลือคดี License นักบินที่พวกคุณยังยึดไว้


ที่พูดมาเพื่ออยากให้สังคมรับรู้ว่า เขาทำเกินกว่าเหตุไหม? เหมือนฆ่าคนทั้งเป็นไหม? พวกคุณไม่สงสารคนอื่นเลยเหรอ?
ทีมา : http://board.postjung.com/882316.html

นี่คือคำทำนายประเทศไทย “๑๒ รัชกาล” ของ โหรหลวงในสมัย รัชกาลที่ ๑


ในรัชกาลสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจะฬาโลก มีผู้เฒ่าเล่ากันต่อ ๆ มาว่าในรัชกาลที่ ๑ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก วันหนึ่งเวลาเย็นขณะที่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกประทับอยู่ ณ ตำหนัก ในขณะนั้นก็พอดีพระโหราผ่านมาจะเข้าเฝ้า พระองค์ก็เลยรับสั่งให้หา พระพุทธยอดฟ้าจึงเผยพระโอษฐ์ขึ้นก่อนว่า


“ท่านมาก็ดีแล้ว ท่านโหรา ฉันจะให้ท่านพยากรณ์โชคชะตาของกรุงรัตนโกสินทร์ว่า ต่อไปเบื้องหน้าจะเป็นอย่างไร”

พระโหราจึงกราบทูลว่า

“พระอาญาไม่พ้นเกล้า การถวายคำพยากรณ์โชคชะตาของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเรื่องสำคัญจำจะต้องตรวจการพยากรณ์ โดยความระมัดระวังจะต้องใช้เวลาถึง ๓ วัน จึงจะกราบทูลถวายคำพยากรณ์ได้”

ครั้งแล้วท่านโหราธิบาดีได้จด ปี เดือน วัน เวลา ของวันที่ลงหลักเมือง กรุงรัตนโกสินทร์ ตามที่พระพุทธยอดฟ้ารับสั่ง แล้วจึงกราบทูลลากลับไป พอครบ ๓ วัน พระโหราธิบดีจึงมาเฝ้าพระพุทธยอดฟ้าตามนัด และได้ถวายคำพยากรณ์เป็น ๑๒ ยุค ดังนี้


ยุคที่ ๑ ได้แก่ รัชกาลที่ ๑ ชื่อว่า มหากาฬ


มีอรรถาธิบายว่า รัชกาลของพระองค์นี้มืดมาก คือพระองค์ไม่รู้ที่จะดำเนินรัฐประศาสนโยบายของประเทศไปในทางไหนดี เพราะเป็นระยะเริ่มก่อร่างสร้างกรุง
ยุคที่ ๒ ได้แก่รัชกาลที่ ๒ ชื่อว่า พาลยัคฆ์


มีอรรถาธิบายว่า ผู้ที่รับมอบสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ไปจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้ที่ประกอบไปด้วยความอ่อนแอ ไม่มีความสามารถในการปกครอง
ยุคที่ ๓ ได้แก่รัชกาลที่ ๓ ชื่อว่า รักมิตร


มีอรรถาธิบายว่า ผู้ที่สืบราชสมบัติต่อมาถึงรัชกาลที่ ๓ นี้ จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงโปรดที่จะทำสัญญาผูกสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศมาก
ยุคที่ ๔ ได้แก่รัชกาลที่ ๔ ชื่อว่า สถิตย์ธรรม มีอรรถาธิบายว่า ผู้ที่สืบราชสมบัติ


ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๔ นี้ จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงพอพระทัยฝักใฝ่ในทางธรรม และพระพุทธศาสนามาก
ยุคที่ ๕ ได้แก่ รัชกาลที่ ๕ ชื่อว่า จำแขนขาด


มีอรรถาธิบายว่า จะมีการเสียดินแดนให้แก่ต่างประเทศ ในรัชกาลที่ ๕ ด้วยความจำใจ
ยุคที่ ๖ ได้แก่ รัชกาลที่ ๖ ชื่อว่า ราชโจรัญ


มีอรรถาธิบายว่า ผู้ที่สืบราชสมบัติต่อมาถึงรัชกาลที่ ๖ นี้เป็นพระราชาที่เปรียบเสมือนโจร คือพระเจ้าแผ่นดินที่จับจ่ายใช้สอยทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาก
ยุคที่ ๗ ได้แก่รัชกาลที่ ๗ ชื่อว่า ทัณฑ์ทุกข์


มีอรรถาธิบายว่า ผู้ที่สืบราชสมบัติถึงรัชกาลที่ ๗ นี้จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มารับเคราะห์หนักตลอดรัชสมัย
ยุคที่ ๘ ได้แก่ รัชกาลที่ ๘ ชื่อว่า ยุคทมิฬ


มีอรรถาธิบายว่า จะเกิดมีสงครามในยุคนี้ ประชาชน ประชาชาติจะต้องเสียสละทรัพย์สมบัติและเลือดเนื้อ เพื่อรักษาไว้ของส่วนใหญ่อันเป็นที่รัก (แต่พระโหรา มิได้ทำนายไว้ถึงว่า รัชกาลที่ ๘ จะประสบเหตุการณ์ถึงสิ้นพระชนม์ด้วยลักษณการเช่นนี้)
ยุคที่ ๙ ได้แก่รัชสมัยปรัตยุบันนี้ ชื่อว่า ถิ่นสกาว


มีอรรถาธิบายว่า ผู้ที่สืบสันตติวงค์ครองราชสมบัติต่อมา ถึงรัชกาลนี้ จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีบุญญาธิการ ประเทศจะเจริญรุ่งเรือง
ยุคที่ ๑๐ ชื่อว่า ชาวศรีวิไล


มีอรรถาธิบายว่า ประชาชนพลเมืองจะถึงซึ่งอารยธรรมอันแท้จริงในยุคนี้ (พวกมิจฉาทิษฐิและอธรรมจะเสื่อมสิ้นไป พวกนี้ถ้าไม่ตายด้วยคมหอกคมดาบ ก็จะต้องตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เพราะเป็นยุคของอารยชนที่มีจิตใจเป็นธรรม

เท่านั้น ที่จะอาศัยอยู่ในอารยประเทศ ถิ่นสกาวได้ ถ้าผู้ใดไม่มีศีลธรรมผู้นั้นก็เท่ากับฝืนโชค ชะตากรรมของประเทศชาติจะต้องได้รับโทษถึงตาย โดยทางใด ทางหนึ่ง ดังกล่าวมาแล้ว
ยุคที่ ๑๑ ชื่อว่า ไทยมหารัฐ


มีอรรถาธิบายว่า ประเทศจะเป็นมหาอำนาจในยุคนี้
ยุคที่ ๑๒ ชื่อว่า จักรพรรดิราช


มีอรรถาธิบายว่า พระเจ้าแผ่นดินจะเป็นถึงสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ในยุคนี้

ที่มา : http://www.patjaa.com/12734/

แม่เฒ่าลำปางเฮง!! ฝันเห็นหลวงพ่อเกษมเขมโกหลังขอพรเรื่องโชคลาภ ได้เลขเด็ดคือ...


เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 ผู้สืบข่าวจังหวัดลำปางได้สอบถามจากคุณยายอำพร ที่บอกชาว
บ้านบอกต่อๆกันว่าได้ฝันเห็น หลวงพ่อเกษมเขมโก หลังจากตนได้ไปไหว้หลวงพ่อที่ สุสานไตรลักษณ์
เพื่อขอโชคลาภ ในตัวเมืองลำปาง...


คุณยายอำพรได้บอกกับทีมข่าวว่าเมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2558 ได้ไปกราบร่างหลวงพ่อเกษมเขมโก
แล้วอธิฐานว่า "ฉันน่ะฐานะยากจน จะไปพึ่งใครเขาก็ไม่สนใจฉันต้องหาเงินเลี้ยงหลาน ฉันขอให้
หลวงพ่อช่วยดลบันดาลโชคลาภ ให้ฉันด้วยเถิด.." จากนั้นคุณยาย ได้ก้มกราบรู้สึกเหมือนมีใครมานั่ง
ข้างหน้า พอเงยหน้าขึ้นมา ไม่มีใครเลย

แล้วเมื่อเวลากลางดึกคุณยายได้ฝันเห็นหลวงพ่อเกษม ขณะที่กำลังบิณฑบาต หลวงพ่อได้พูดกับคุณยาย
ว่า ''การที่ตนเองลำบากนั่น อย่าโทษกรรมเก่าเลยหมั่นทำความดีเข้าไว้ ชีวิตจะพบแต่ความสุข ''
ในขณะที่หลวงพ่อรับบิณฑบาตนั่นคุณยายได้เห็น ขนมตาลห่อด้วยใบตอง 3 ลูก ขนมตาลอีก 4 ลูก ...
รุ่งเช้าตื่นมาตนจึงไปบอกเพื่อนบ้านว่าเมื่อคืนตนได้ฝันเห็นอะไบ้างชาวบ้านจึงตีเลขเด็ดเป็น 34 43
ส่วนที่ฝันเห็นหลวงพ่อเกษมเขมโกนั่นเลขมงคล เด่นนำโชค คือ 3 เลขมงคล เด่นรอง 25 98 40
99 75 94 205

ต่อมาผู้สืบข่าวของเราได้ไปดูตามแผงหวยที่สุสานไตรลักษณ์ ปรากฏว่างวดวันที่ 2 มิ.ย.2558 เลข
34 43 205 ขายหมดเกลี้ยงแผง

ที่มา : http://www.siam55.com/news25293.html

"นางกิ่งแก้ว" นักโทษประหารหญิงคนที่ 2 ของไทย "แต่เธอไม่ยอมตาย"!!!!


นางกิ่งแก้ว ลอสูงเนิน เธอคนนี้คนไทยเองน้อยคนไม่ค่อยรู้จัก แต่ไม่ยากที่จะค้นหา เพราะประเทศไทยเรามีนักโทษประหารหญิงไม่กี่คน ซึ่งนางกิ่งแก้วนั้นเป็นนักโทษประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของไทยเรา


เรื่องราวของนางกิ่งแก้ว ลอสูงเนินน่าเชื่อว่ามาจากเนื้อหาหนังสือที่เชาวเรศน์จารุบุณย์เชาวเรศน์ จารุบุณย์เพชฌฆาตคนสุดท้ายที่ลั่นกระสุนปืนประหารชีวิตนักโทษหลายราย ก่อนที่การประหารชีวิตไทยจะเปลี่ยนเป็นฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือดแทน ซึ่งหนังสือดังกล่าวถูกตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ทำให้คนต่างชาติรู้เรื่องการประหารชีวิตยิงเป้ามาก ซึ่งพอดีผมไปค้นที่ห้องสมุดไม่เจอหนังสือดังกล่าว ดังนั้นผมขอแปลเท่าที่จะทำได้ล่ะกันน่ะครับ ผิดพลาดประการใดขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย

นางกิ่งแก้ว เป็น พี่เลี้ยงเด็กชาวโคราชที่ทำงานในกรุงเทพ ที่คุ้นเคยและได้รับวางใจกับครอบครัวหนึ่งที่ได้จ้างเธอมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ชายอายุ 6 ขวบ ซึ่งวันที่เกิดเหตุนั้นเธอได้ไปรับเด็กชายที่โรงเรียน ซึ่งเธอเป็นที่รู้จักกันดีในคุณครูในโรงเรียนดีอยู่แล้วและส่งให้เธอโดยไม่ เกิดความสงสัยใดๆ แต่กลายเป็นนางกิ่งแก้วได้ร่วมมือกับพวกโจรผู้ชาย (2 คน) จับเด็กชายไปเรียกเงินค่าไถ่จากพ่อแม่เด็ก โดยตามแผนการนั้นพ่อแม่เด็กจะต้องโยนเงินออกจากรถไฟที่กำลังแล่นและใกล้กับ ธงที่กำหนด ที่นี้ก็เกิดปัญหาขึ้นเมื่อเวลาส่งมอบเงินดันเป็นตอนกลางคืน ผู้ปกครองเด็กมองไม่เห็นธง และส่งเงินผิดพลาดไม่ตรงจุดที่กำหนด ส่งผลทำให้การเลือกเปลี่ยนเงินค่าไถ่ล้มเหลว พวกโจรโกรธแค้นและแทงเด็กตายเพื่อปิดปาก แม้ว่านางกิ่งแก้วพยายามห้ามพวกโจรไม่ทำร้ายเด็ก แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจแทงเด็กตายและนำศพไปฝัง ก่อนที่จะแยกย้ายกันหลบหนี (จากการชันสูตรศพต่อมาพบว่ามีเศษดินในปอดแสดงให้เห็นว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่ หลังฝังศพของเขาบนดินแล้ว)


ด้วยการกระทำของเธอในการฆาตกรรมเด็กชาย นางกิ่ง แก้วถูก ตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า สำหรับการยิงเป้าของไทยนั้น นักโทษถูกผ้าปิดตาและผูกติดกับเสาหลักรูปไม้กางเขนฟันหน้าเข้ากับกำแพง ไม่ว่าจะเป็นเอว หน้าอก ข้อศอกทั้งสองข้างต้องติดกับไม้กางเขนทั้งสองด้าน และที่ข้อมือมีลักษณะพนมมือโอบรอบเสา ซึ่งต้องมัดให้แน่นจนนักโทษขยับตัวไม่ได้ และจากนั้นก็ตั้งปืนไรเฟิลอัตโนมัติชี้ไปยังหัวใจบริเวณแผ่นหลังของนักโทษ ประหาร (ซึ่งจะทำเครื่องหมายบริเวณหัวใจนักโทษเอาไว้) เมื่อถึงเวลาประหารเพชฌฆาตที่ อยู่ด้านหลังนักโทษจะทำการยิงกระสุนเข้าไปสิบห้านัดเข้าไปบริเวณที่ทำ เครื่องหมาย เพื่อให้นักโทษประหารตายทันทีไม่ให้ทรมานมากเกินไป

นาง กิ่งแก้ว ถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 13 มกราคม 1976 ในเวลานั้นสภาพจิตใจนางกิ่งแก้วย้ำแย่มาก (เคยพยายามฆ่าตัวตายเพื่อหนีโทษประหาร) ซ้ำยังหน้ามืดจะเป็นลม มีอาการทางจิตประสาท ทำให้พี่เลี้ยงต้องคอยดูแลอาการและคอยให้ยาดม ในระหว่างรอประหารเธอก็ยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอในคดีฆาตกรรมเด็กชาย ว่า "ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าเด็ก" เธอขอร้อง "ได้โปรดอย่าฆ่าฉัน ฉันไม่ได้ฆ่าเขา" เธอพูดซ้ำซากแบบนี้ตลอดเวลา แต่หมดสิ้นความหวังเพราะเธอก็ถูกส่งไปยังเวทีประหาร ปืนถูกโหลดและเพชฌฆาตเล็ง อีกสักครูก็มีกระสุนกว่าสิบนัดถูกยิงออกมาเข้าไปจุดที่เชื่อว่าจัดขั้วหัวใจ ของนางกิ่งแก้ว

ไม่นานหลังจากยิงปืนเสร็จสิ้น หมอได้เดินเข้ามาใกล้ผู้หญิงแล้วตรวจหาชีพจรก็พบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว จุดที่ถูกยิงมีเลือดออกมาปริมาณมาก พวกเขาจัดการแก้ร่างของเธอและวางคว่ำหน้าของเธอลงบนพื้น ซึ่งตอนนั้นเธอก็ชักและกระตุกเล็กน้อย หน้าอกของเธอปริออกเพราะแรงกระสุน ร่างของเธอถูกย้ายไปที่ห้องเก็บศพและวางอยู่บนเตียง ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นเตรียมประหารคนต่อไปที่รอคิวอยู่


แต่แล้วก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อขึ้น นางกิ่งแก้วยังไม่ตาย เธอเริ่มส่งเสียง (ดูเหมือนจะพูดว่า"ฉันไม่ผิดๆๆๆๆๆๆๆ") และพยายามลุกขึ้นนั่ง พี่เลี้ยงต้องวิ่งเข้าไปห้องเด็บศพ และพวกเขาพยายามกลิ้งเธอหลายครั้งและกดบนหลังของเธอเพื่อให้เลือดออกเร็ว ขึ้นให้ธอตายสงบ (บางคนพยายามที่จะบีบคอ) แต่เธอก็ยังอ้าปากหายใจไม่เสียชีวิตในทันที แม้จะทำยังไงเธอก็หายใจและยังมีชิวิตอยู่ แม้เลือดจะออกมามากมายก็ตาม ผลสุดท้ายเธอก็ถูกยกกลับไปเวทีประหารและประหารชีวิตใหม่ด้วยการยิงกระสุนอีก 15 นัดอีกครั้ง เธอจึงเสียชีวิต

ไม่ มีใครทราบว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพราะผูกติดกับเสาหลักไม่แน่นพอ ทำให้เธอดิ้นจนกระสุนเลยจุดตาย และอีกทั้งหัวใจของเธอนั้นอยู่ด้านขวาไม่ใช่ด้านซ้ายเป็นเหตุทำให้การประหาร ผิดพลาดดังกล่าว

(มีเหตุหลังจากนี้นิดหน่อย มีเรื่องเล่าว่าหลังจากที่นำศพของเธอมาไว้ห้องเก็บศพ ยังคงมีคนได้ยินเสียง "ฉัน ไม่ ผิด" ดังจากในห้องซ้ำแบบนี้ตลอดเวลา และทุกวันนี้ยังมีผู้พบเห็นเธอเป็นผีวนเวียนที่เรือนจำบางขวาง)


อีกเรื่องเล่าหนึ่งจากปากพัสดี

พัสดีหลายคนเล่าว่า นาง กิ่งแก้วรักเด็กคนนี้มาก รักเหมือนลูกของตน และเมื่อวันที่เด็กถูกสังหาร เป็นวันที่นางกิ่งแก้วไม่อยู่ ทางฝ่ายสามีจึงลงมือสังหารเด็กเสีย ฝ่ายนางกิ่งแก้วกลับมาและไม่พบเด็ก ก็รู้ได้ทันทีว่าอาจเกิดอันตรายกับเด็กคนนั้น นางจึงออกตามหาเด็กคน และมาพบรอยดินที่เหมือนพึ่งฝังเสร็จใหม่ นางกิ่งแก้วจึงลงมือขุดจนพบร่างเด็ก แต่ไม่ทันการเสียแล้ว เด็กหมดลมหายใจไปเสียก่อน นางกอดศพและร้องไห้อยู่พักนึง เป็นเวลาเดียวกับที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังบุกจับพอดี นางกิ่งแก้วจึงตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าคนตาย นี่คือคำสารภาพที่นางกิ่งแก้ว พูดกับพัสดีภายในเรือนจำ

พัสดีเล่าต่อว่า ขณะที่นางกิ่งแก้วโดนจองจำอยู่นั้น สุขภาพจิตของเธอแย่มาก ได้แต่ร้องไห้และพร่ำเพ้อว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด อยู๋อย่างนั้น ดั่งคนเสียสติ จนนักโทษในเรือนจำเกิดความเวทนานางกิ่งแก้วมาก และเป็นอย่างนี้อยู่ประจำ

จนเมื่อถึงวันประหาร ขณะที่นางกิ่งแก้วโดนคุมตัวไปยังแดนประหาร นางพร่ำเพ้ออยู่ตลอดว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด

เมื่อ เข้าสู่หลักประหาร เพชรฆาตก็เตรียมตัวลั่นไกไปที่หัวใจของนางกิ่งแก้ว เสียงปืนชุดแรกดังขึ้น กระสุนพุ่งสู่ร่างนางกิ่งแก้ว จากนั้นเลือดก็สาดพร้อมกับเสียงโหยหวนของนางกิ่งแก้วว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด เพชร ฆาตตกใจมากที่นางกิ่งแก้วยังไม่ตาย จึงยิงใส่อีกชุดนึงเพื่อที่จะให้นางกิ่งแก้วพ้นทุกข์โดยเร็ว ปรากฎว่า นางกิ่งแก้วก็ยังไม่หมดลมหายใจและยังตะโกนโหยหวนด้วยความทรมารว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ทางพัสดีและหมอประจำเรือนจำจึงรีบเข้าไปตรวจสอบที่่ร่างนางกิ่งแก้วอีกครั้ง และผลปรากฏว่านางมีหัวใจอยู่ด้านขวา ทางพัสดีจึงต้องวัดเป้าอีกครั้งและทำการประหารใหม่ และคราวนี้นางกิ่งแก้วได้พ้นทุกข์เแล้วสียที พร้อมกับพูดสุดท้ายว่า ฉันไม่ผิด

ยัง มีเรื่องเล่าหลังจากจากนางกิ่งแก้วเสียชีวิตไปแล้ว ว่ามีนักโทษและชาวบ้านแถวนั้นพบเจอวิญญาณนางกิ่งแก้วออกมาปรากฎตัวอยู่บ่อย ครั้ง บ้างก็เห็นนางกิ่งแก้วเดินร้องไห้และพูดว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด และหายเข้าไปในกำแพงเรือนจำ บ้างก็เห็นว่าเธอลอยอยู่บนเหนือกำแพงเรือนจำ ส่งเสียงร้องไห้โหยหวนว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด...และทุกวันนี้ก็ยังมีคนพบเจอวิญญาณของนางกิ่งแก้วอยู่ แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม
ทีมา : http://variety.teenee.com/