Tuesday, June 9, 2015

ย้อนดูคดีดังสุดสะเทือนใจ : เหยื่อสังคม "ศยามล" บันทึกรัก-รอยแค้น


เหยื่อสังคม "ศยามล" บันทึกรัก-รอยแค้น นานนับสิบปีมาแล้วที่ "นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์" อดีตแพทย์ รพ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำกลางบางขวาง ในฐานะผู้ต้องขังคดีอันครึกโครมสะเทือนใจยิ่ง จ้างวานฆ่าภรรยาตัวเอง "ศยามล ลาภก่อเกียรติ" !!!


"หมอ บัณฑิตถือเป็นนักโทษชั้นดี มีวิถีชีวิตในเรือนจำไม่ต่างจากนักโทษรายอื่นๆ และได้อาสาเข้าไปช่วยงานในเรือนพยาบาลแดน 6 อยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ยังคอยรักษาพยาบาลอาการป่วยเบื้องต้นให้แก่เพื่อนๆ นักโทษที่อยู่แดนเดียวกันด้วย" อัศวิน คุณพันธ์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง เปิดเผยกับ "คม ชัด ลึก"

อัศวินยืนยันด้วยว่า หมอบัณฑิตไม่มีอภิสิทธิ์เหนือนักโทษรายอื่น ชีวิตความเป็นอยู่เหมือนกับนักโทษทั่วไป ระหว่างต้องโทษอยู่ในเรือนจำสนใจเรียนหนังสือ และเพิ่งจบการศึกษาสาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

ชีวิตของนายแพทย์อนาคตไกลต้องพลิกผันกลายมาเป็นนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ หลังจากว่าจ้างให้ บรรจบ นิลน้อย, สมหมาย สังข์เคลือบ, สมหมาย เนียมศรี และ สาธิต มีเย็น ฆาตกรรมภรรยาตัวเอง

เช้าตรู่วันที่ 29 กันยายน 2536 ขณะพระภิกษุเดินบิณฑบาตผ่านทางเข้าหมู่บ้านหนองปลาไหล หมู่ 12 ต.ไร่มะขาม อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากรถเก๋งนิสสัน ซันนี่ สีขาว ทะเบียน ก 2344 ประจวบคีรีขันธ์ ที่จอดสงบนิ่งอยู่ริมถนน เมื่อเพ่งมองเข้าไปในรถก็พบภาพชวนสลดใจ เด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดศพหญิงสาววัยประมาณ 30 ปี บริเวณเบาะหน้าข้างคนขับที่ถูกปรับเอนราบไปกับเบาะหลัง เลือดท่วมร่างแห้งเกรอะกรัง กางเกงถูกรูดลงมาอยู่แค่เข่า หน้าอกและลิ้นปี่มีรอยถูกแทงเป็นแผลฉกรรจ์

ภาพที่ชวนสังเวชใจแก่ผู้พบเห็นอีกประการก็คือ เด็กหญิงตัวเล็กๆ ร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง มือกำกระดาษทิชชูคอยเช็ดคราบเลือดออกจากร่างไร้วิญญาณที่นอนทอดกายไม่ไหวติง ด้วยความรักห่วงใยและอาลัยอาวรณ์ เมื่อตำรวจตรวจสภาพศพและที่เกิดเหตุแล้วเชื่อว่า เด็กหญิงร้องไห้กอดศพซับเลือดอยู่ไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง และแม้จะพยายามอุ้มเด็กออกจากร่างปราศจากลมหายใจอย่างไร เด็กก็ไม่มีทีท่าจะยอมออกห่าง เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ตำรวจต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะปลอบประโลมหนูน้อย และแม้จะแยกออกมาได้แล้วหนูน้อยก็ยังพร่ำเรียกหาแต่แม่

จากการสอบสวนทำให้ทราบว่าผู้ตายคือ ศยามล ลาภก่อเกียรติ ผู้ช่วยพยาบาล รพ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าบูติก "บารมี" ในตัวเมืองหัวหิน ส่วนเด็กหญิงคือ น้องอิงอิง บุตรสาวของศยามลวัย 2 ขวบเท่านั้นเอง !?!

หลังพบศพ พ.ต.อ.พิสิทธิ์ คำแน่น ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี (ตำแหน่งขณะนั้น) เดินทางมายังที่เกิดเหตุและสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีด้วยตนเอง

"มันเป็นคดีสะเทือนใจชวนหดหู่ ผมสงสารน้องอิงอิงมาก เด็กอายุ 2 ขวบ กอดศพแม่อยู่นานกว่า 6 ชั่วโมง ในมือกำทิชชูคอยซับเลือดให้แม่ ปากก็พร่ำบอกเช้าแล้วแม่ ตื่นเถอะ หนูหิว ผมยังจำติดหู" พ.ต.อ.พิสิทธิ์ย้อนเหตุการณ์

ตำรวจใช้เวลาสืบสวนหาตัวคนร้ายเพียง 3 สัปดาห์ ก็สามารถจับกุม บรรจบ นิลห้อย คนรับงาน, สมหมาย สังข์เคลือบ คนขับรถพาหนี, สมหมาย เนียมศรี มือมีด และ สาธิต มีเย็น ทีมสังหารศยามลได้ครบชุด แล้วสิ่งที่ทั้งสี่ให้การสาภาพก็นำมาสู่ความจริงอันแสนโหดร้าย และเป็นตำนานอีกบทหนึ่งของความรักแรงแค้น ที่กล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้

...นานมาแล้วที่ ศยามล ลาภก่อเกียรติ ผู้ช่วยพยาบาล แอบหลงรัก นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ นายแพทย์หนุ่มอนาคตไกล กระทั่งพัฒนาความสัมพันธ์จนถึงขั้นแอบจดทะเบียนสมรสกันอย่างลับๆ อยู่กินกันจนให้กำเนิดน้องอิงอิง

เนื่องจากครอบครัวของศยามลและหมอบัณฑิต ค่อนข้างมีฐานะ และเป็นที่นับหน้าถือตาใน อ.หัวหิน เมื่อทราบเรื่องของทั้งสองจึงโกรธถึงขั้นยื่นคำขาดให้ศยามลเลือกว่าจะอยู่ กับฝ่ายชายหรือญาติพี่น้อง ในที่สุดศยามลก็จำใจหย่ากับ นพ.บัณฑิต พร้อมกับเรียกร้องเงิน 2 ล้านบาท เป็นค่าเลี้ยงดูบุตรสาว

2 ปีให้หลัง นพ.บัณฑิต พบรักใหม่กับแพทย์หญิงคนหนึ่งใน รพ.หัวหิน เมื่อศยามลทราบเรื่องอาจด้วยความรักและเยื่อใยที่ยังมีเหลืออยู่ ทำให้เธอไม่อาจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เรื่องรักสามเส้าเริ่มตึงเครียดเขม็งเกลียวขึ้นทุกขณะ กระทั่งศยามลถูกข่มขู่ให้ออกไปจาก อ.หัวหิน

ความรักที่ไม่ลงตัวยังคงดำเนินต่อไปจนวันที่ 28 กันยายน 2536 นพ.บัณฑิตโทรศัพท์หาศยามลบอกให้ไปพบเพื่อจะพาไปดูบ้านหลังใหม่ ที่สร้างเป็นของขวัญให้เธอและลูก พร้อมกับกำชับไม่ให้บอกคนในครอบครัว แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นอยู่ในสายตาของ "ปาริชาติ ลาภก่อเกียรติ" พี่สาวศยามลตลอด และรู้แม้กระทั่งว่าน้องสาวออกไปพบอดีตสามี

ศยามลขับรถเก๋งนิสสัน ซันนี่ สีขาว ออกจากร้านบารมีภายในศูนย์การค้าหัวหิน คอมเพล็กซ์ โดยมีน้องอิงอิงตามไปด้วย จนปั๊มน้ำมันหนองหอย ถนนเพชรเกษม มุ่งหน้า อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งขับรถปาดหน้าบังคับให้ศยามลหยุดรถ ก่อนจะกรูกันขึ้นไปบนรถของเธอ ใช้มีดและปืนจี้บังคับศยามลและน้องอิงอิงให้มานั่งเบาะหน้าคู่คนขับ

บรรจบ นิลน้อย และ สมหมาย เนียมศรี ตรงไปนั่งเบาะหลังประกบหญิงสาวกับลูกไว้ แล้วให้ สมหมาย สังข์เคลือบ เป็นคนขับรถเก๋งของเธอไปยังทางเข้าหมู่บ้านหนองปลาไหล หมู่ 12 ต.ไร่มะขาม อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี สมหมาย เนียมศรี ใช้เชือกรัดคอและใช้มีดแทงศยามลอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าน้องอิงอิง ก่อนจะจับถอดเสื้อผ้าแล้วทำบางสิ่งบางอย่างอำพรางว่าเป็นการฆ่าข่มขืนชิง ทรัพย์ให้เป็นไปตามคำสั่งของผู้จ้างวาน

ใช่แล้ว นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ คือผู้จ้างวานคนนั้น !?!

"ตอนที่ผมนำกำลังเข้าจับกุม หมอทำงานอยู่ที่ รพ.หัวหิน โดยระหว่างเข้าจับกุม เขามีทีท่าเรียบเฉย ไม่ตกใจหรือหวั่นวิตกใดๆ และยังปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โชคดีที่ผมจับผู้สังหารได้ทั้งหมดและให้การสอดคล้องต้องกันว่า รับว่าจ้างจาก นพ.บัณฑิต จึงทำให้หมอดิ้นไม่หลุด" พ.ต.อ.พิสิทธิ์กล่าว

การสืบสวนแรกๆ อาจจะติดขัดอยู่บ้าง เพราะคนร้ายพยายามจัดฉากว่าเป็นการฆ่าข่มขืนเพื่อชิงทรัพย์ แต่พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ทำให้การสืบสวนพุ่งเป้าไปที่ความขัดแย้งระหว่างศยามลกับหมอบัณฑิตอดีตสามี ทว่ากระบวนการสอบปากคำหมอบัณฑิตกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากหมอบัณฑิตเองก็มีหลักฐานยืนยันแหล่งที่อยู่ชัดเจน

ช่วงเวลาที่ศยามลถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม เป็นช่วงเดียวกันกับหมอบัณฑิตลาพักร้อน มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 27-30 กันยายน และลากิจเพิ่มอีกในวันที่วันที่ 1 ตุลาคม อีก 1 วัน ประกอบกับหมอบัณฑิตมีหลักฐานมายืนยันแหล่งที่อยู่ เป็นภาพถ่ายและใบเสร็จค่าโรงแรมที่พักใน รร.แปซิฟิกไอซ์แลนด์ จ.ภูเก็ต ซึ่งหมอบัณฑิตอ้างว่าพักอยู่ที่นั่นตลอดช่วงลาพักร้อน

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ทว่าในส่วนของพนักงานสอบสวนเองก็สามารถหักล้างได้ว่า หมอบัณฑิตมีเจตนาจะจัดฉากขึ้น เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง เพราะผู้ต้องหาที่ลงมือสังหารต่างให้การซัดทอดถึงตัวผู้บงการสอดคล้องกัน ไม่มีประเด็นใดสงสัยเป็นอย่างอื่นได้

"สาเหตุการสังหารมาจากหมอต้องการไปแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ แม้จะหย่ากับศยามลแล้ว แต่ก็หวั่นวิตกว่าในวันแต่งงานศยามลจะไปก่อกวนงานแต่งจึงต้องสังหาร" พ.ต.อ.พิสิทธิ์ ระบุ


หลังการจับกุม พนักงานสอบสวน สภ.อ.บ้านลาด ได้สรุปสำนวนส่งอัยการพิจารณาสั่ง ฟ้องดำเนินคดี นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ ในข้อหาจ้างวานฆ่า ส่วน สมหมาย เนียมศรี สมหมาย สังข์เคลือบ บรรจบ นิลน้อย และ สาธิต มีเย็น ถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต นพ.บัณฑิต ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือจำคุกตลอดชีวิต นพ.บัณฑิตยื่นอุทธรณ์แต่ไม่เป็นผลจึงยื่นฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต่อมา นพ.บัณฑิต ได้รับการอภัยโทษประหารชีวิตลดเหลือจำคุกเพียง 40 ปี
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/69485.html

เก้า ทับ เก้า ซาลาเปา ป๊อกกี้! คำด่าเด็กประถมสมัยนี้ ครีเอทแต่แฝงไปด้วยความรุนแรง

ทำเอาคุณครูหรือพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่ได้เห็นคำด่าน่าหยิกน่าหยอกของหนูๆประถมเหล่านี้ รู้สึกแปร่งๆกันเป็นแถว เอ๊ะ!! อะไรยังไงจ๊ะ เห็นบอกว่าด่ากัน เหน็บกัน แต่ทำไมต้องมี

"9/9 ซาลาเปา ป๊อกกี้"


ขอบอกเลยค่ะว่าน้องคนไหนคิดเลย มารับรางวัลครีเอทีฟจากพี่ไปเลย แต่...ความหมายที่ออกมาไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่หรอกนะจ๊ะ

อือหือออ...ไม่โหดจริงคิดลึกซึ้งขนาดนี้ไม่ได้นะเนี่ย ยอมรับในความพยายามของหนูๆจริงๆ ต่อไปถ้าคุณครูหรือคุณพ่อคุณแม่ได้ยินน้องพูดรัวๆว่า 'นัง9/9 ซาลาเปา ป๊อกกี้' ก็อาจจะต้องชี้แจงกันนิดนึงนะคะ!
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/69423.html

เผยหน้าตา ลูกชิ้นหมูของแท้! ทำเอาหลายคนรู้เลยว่า โดนหลอกให้กินลูกชิ้นหมูปลอมมาทั้งชีวิต

ใครไม่เคยกินก๋วยเตี๋ยวยกมือขึ้น!? เชื่อเลยว่าไม่มีแน่นอน เนื่องจากเป็นอาหารง่ายๆ อิ่มสบายท้อง และถ้าจะให้ดีก็ต้องมีลูกชิ้นหมูประกอบเบาๆ ให้ได้เคี้ยวหนุบหนับรสชาติเพลินๆ แต่คุณจะเชื่อมั้ยล่ะว่า ลูกชิ้นหมูที่เคยๆกินกันมาทั้งชีวิตน่ะ มันไม่ใช่ของแท้เลย!!


ใจร่มๆจ้า อย่าเพิ่งโวยวายว่ามันคือเนื้องู เนื้อหมา หรือเนื้อแมวแต่อย่างใด ลองดูภาพลูกชิ้นหมูของแท้ซะก่อน แล้วจะเข้าใจว่าทำไมถึงโดนหลอก

หมู! หมู..จริงๆด้วย ของแท้แน่นอน 100% น่ารักอ่ะ แบบนี้จะกล้ากินกันมั้ยนะ? แต่ยังไงก็อดชื่นชมไม่ได้เลยนะคะ คงสร้างมูลค่าเพิ่มให้ก๋วยเตี๋ยวได้อีกเยอะเลย ใครสนใจก็ลองๆหาลู่ทาง ต่อไปก็โฆษณาได้อย่างเต็มอกเลยว่า "ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูของแท้ ท้าให้ลอง!"
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/69436.html

เห็นตำตา แม่กินตับกับคนข้างบ้าน! เรื่องราวสุดช้ำที่ไม่กล้าบอกพ่อ แถมคนก่อเหตุยังไม่รู้ชั่วดี

แม่มีชู้ สงสารพ่อแต่ไม่กล้าบอกจะทำไงดี??ช่วยด้วยค่ะ


ครั้งนี้เป็นครั้งที่2แล้วที่จับได้ ครั้งแรกกับลูกน้องที่ทำงานพ่อ แต่ทางฝ่าย ผช ได้มากราบขอขมา พ่อกับแม่เราแยกทางกันพักนึง


ครั้งนี้เราเริ่มสังเกตแปลกๆ ปกติบ้านเราจะไม่ค่อยสุงสิงกับไคร เริ่มแรกๆส่งข้าวส่งน้ำกันตามประสาเพื่อนบ้าน เริ่มสนิทกันมาอีกนิดก็มีดื่มกันบ้าง(ปกติที่ดื่มกันพ่อเราจะอยู่ด้วยทุกครั้ง) แม่เราจะมีเพื่อนสนิท 1 คน มาเล่นที่บ้านด้วยทุกวัน * คือพ่อเราอายุ46 แม่เรา 40 เราเห็นท่าทางแม่เราเเปลกหลายครั้ง เช่นจับหน้ากันบ้าง พูดท่าทางอ้อนบ้าง ซึ่งเราว่ามันผิดปกติ


เราเลยถามเพื่อนแม่เรา ซึ่งดูท่าทางไม่ค่อยชอบเหมือนกันเวลาที่แม่เป็นแบบนี้ ซึ่งคำตอบคือ ใช่ แต่เค้าคุยกันเฉยๆไม่มีอะไรหรอก


ล่าสุดเลยค่ะสดๆร้อน พ่อเราออกไปทำงานแล้ว แม่เรากำลังจะทำกับข้าวในครัวเตรียมของอะไรเยอะแยะ คือเราจะไปกรอกน้ำหลังบ้าน แล้วไม่เห็นแม่ มองไปบ้านคนนั้นเปิดทีวี(บ้านเรากับบ้านเค้าไม่มีรั้วกัน) เราได้ยินเสียงแปลก รู้สึกเหมือนเจนสำผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง เดินไปดูตรงหน้าต่างเลยค่ะ กำลังมันส์กันเลย เราแข็งใจเดินไปตามเพื่อนแม่ที่ชอบมาเล่นด้วยซึ่งนั้งอยู่หน้าบ้าน จะให้มาเห็นกับตา เพื่อนแม่เราก็ไปเรียกให้ออกมา


อีกสักแปปเดินมาจากอีกทาง ถือมะละกอมา 1 ลูก แล้วบอกว่าไปขอมะละกอบ้านอีกหลังมา เราจึงพูดมาว่าทำไมไม่ไส่รองเท้า อย่าให้มีอีกนะบอกพ่อแน่ เราออกไปทำงานเลยโทรหาเพื่อนแม่ระบายความเสียใจว่า ทำไมแม่ทำแบบนี้ เราสงสารพ่อ เพื่อนแม่เลยบอกว่าไหนๆหนูเสียใจแล้วน้าจะเล่าให้ฟัง


พอแม่หนูรู้ว่าเราจับได้วันนี้ ยังมาเล่าอีกว่าเมื่อวานก่อนตอนพ่อเมาหลับ ที่หนูไม่อยู่บ้าน ก็แอบเอากันไปแล้วทีนึง แล้วมาวันนี้อีก เล่าทั้งๆยิ้ม แบบไม่เสียใจอะไรเลย เพื่อนแม่ถามว่า แล้วถ้าเมียเค้าอยู่ดีๆกลับจากที่ทำงานมา แกจะทำยังไง แม่ตอบ โอ้ยบ้านมันกว้างจะตาย แอบตรงไหนก็ได้ แล้วที่เราไปเจอก็ปีนหน้าต่างออกมา แล้วถามว่าเรารู้ได้ไง เพื่อนแม่เราบอก แกไม่เห็นเหรอมันไปยืนดูตรงประตู บอกไม่เห็นกำลังมันส์ เราเสียใจมากไม่รู้จะทำยังไง อึดอัดไปหมด ช่วยให้คำปรึกษาด้วยค่ะช่วยแนะนำด้วย
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/69417.html

จดหมายถึงผู้พิพากษา จาก Ross Ulbricht หลังถูกจำคุกตลอดชีพ


ก่อนจะพาไปอ่านจดหมายของเค้าที่ผมอยากให้ทุกคนที่ยังมีชีวิตได้อ่าน
ขอเกริ่นเรื่องราวของ Ross Ulbricht ให้ฟังซักหน่อย
ดูจากรูปอาจจะสงสัยว่า นาย Ross เป็นใคร
หน้าตาดูเฟรนลี่ ไม่เห็นมีผิดมีภัย

เรื่องราวของนาย Ross น่าสนใจมาก
Ross Ulbricht จบปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์
จบปริญญาโท สาขาวัสดุวิทยาศาสตร์

นาย Ross เป็นชนชั้นหัวกะทิคนนึง
มี Passion สร้างการตลาดเสรีที่จะเปลี่ยนแปลงโลก
ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมใดๆ

นาย Ross สร้างเว็บไซต์ชื่อ Silk Road
เป็นตลาดออนไลน์ให้คนซื้อขายบนอินเตอร์เนท ด้วย Bitcoin หรือเงินสกุลดิจิทอล ทำให้ไม่ต้องผ่านเข้าระบบสกุลเงินของรัฐบาลใดๆ
Silk Road จึงเป็นตลาดเสรีที่ไม่มีพรมแดน จะซื้อ จะขายอะไร ก็อิสระดั่งใจ

...และ Silk Road ก็กลายเป็นแหล่งค้ายา ค้าอาวุธ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกออนไลน์
นาย Ross สร้างรายได้มหาศาลในเวลาแค่ 2 ปีที่เว็บเปิด
ประเมินว่าน่าจะได้ 600,000 บาทต่อวันทีเดียว
จนเมื่อสองปีที่แล้ว ... Ross Ulbricht ก็ถูก FBI จับ
หลักฐานมัดตัวอยู่หมัด ในฐานะอาชญากรระดับพ่อค้ายา
จากการสืบสวน เด็กอย่างน้อย 6 คน ต้องตายเพราะการซื้อขายยาจากเว็บไซต์ของเค้า

รวบรวมหลักฐานและไตร่สวนยาวนานเกือบปีครึ่ง
จนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีการประกาศผลการพิพากษาออกมา

"Ross Ulbricht ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต"

คร่าวๆคือผู้พิพากษายืนยันว่า
การศึกษาไม่ได้ช่วยอะไร เค้าไม่ได้ต่างจากพ่อค้ายา ที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตเด็กที่ตายจากการเสพยาที่ซื้อผ่านเว็บของเค้าเช่นกัน

หลายฝ่ายออกมาค้าน และไม่เห็นด้วยกับผลการตัดสินครั้งนี้
ไม่ใช่ว่าเค้าไม่ผิด แต่เห็นว่ามันหนักเกินไป
ฆ่าคนตาย บางทียังมีโอกาสได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน
ข่มขืนผู้หญิงยังโทษไม่หนักเท่านี้เลย?

ใครคิดเห็นอย่างไร อันนี้สุดแท้แต่ใจคน
แต่สิ่งที่มาอยากจะนำมาแชร์ในวันนี้คือ "จดหมาย" ของ Ross Ulbricht ที่เขียนถึงผู้พิพากษา
มันเป็น จดหมายที่ทรงพลังที่สุดฉบับนึงที่ผมเคยอ่านมาเลย

พร้อมแล้วลองอ่านกัน
ผมจะไม่คอมเม้นอะไรเพิ่มเติมนะครับ อยากให้เป็นวิจารณญาณของคนอ่านเอง
ฉบับจริงลองตามไปอ่านได้ที่ https://www.documentcloud.org/documents/2086668-gov-uscourts-nysd-422824-251-1.html
(อาจจะแปลไม่ 100% นะครับ อาจจะย่อนิดๆแต่จะให้ใจความใกล้เคียงที่สุด)

====================

เรียน ผู้พิพากษา ฟอเรสต์

ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเรื่องการจำคุกของผม
มันเป็นจดหมายที่ท้าทายและเขียนได้ยาก เพราะการที่ผมเป็นคนต้องโทษ ... มันมีแรงจูงใจที่เมื่อผมพูดอะไรไป มันจะกลายเป็นเหมือนเรียกร้องความสงสารเอาได้

แต่ผมก็แสดงความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาโดยตลอดในกระบวนนี้
ฉะนั้น...ในจดหมายฉบับนี้ มันก็ยังจะเป็นเช่นนั้น

ช่วงการจองจำตลอดปีครึ่งที่ผ่านมา มันให้เวลามากมายที่ทำให้ผมได้ตระหนักถึงการกระทำต่างๆที่ส่งผลให้ผมต้องมาถูกจับและต้องโทษ

เมื่อครั้งที่ผมสร้าง Silk Road ขึ้นมา ผมไม่ได้ต้องการเงิน
...อันที่จริง ผมมีรายได้ที่ดีมากๆอยู่ด้วยซ้ำในขณะนั้น

ผมเป็นหัวหน้าของบริษัท Startup, Good Wagon Book ที่กำลังเติบโตและไปได้ดี ...และถึงถ้าบริษัทของผมล้มเหลว ผมก็ยังจบสองปริญญา ที่สามารถหางานดีๆ ได้สบายๆ

ผมสร้าง Silk Road เพราะผมเชื่อมั่นใน "คุณค่า" ของแนวคิดนี้
ในขณะนั้น ผมเชื่อว่าทุกคนควรมีสิทธิ์ที่จะซื้อ จะขายทุกสิ่งที่เค้าต้องการ ตราบใดที่มันไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่น

อย่างไรก็ตาม ผมได้เรียนรู้แล้วว่า การกระทำตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่น โดยไม่ใช้เวลาให้มากพอเพื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน... มันสามารถนำมาซึ่งผลพวงที่อาจจะเป็นหายนะได้

Silk Road กลายเป็นบทเรียนราคาแพงจากความไร้เดียงสาที่ผมเสียใจอย่างสุดซึ้ง

Silk Road มันควรจะเป็นเรื่องของการให้ "อิสรภาพ" แก่ผู้คน ที่สามารถตัดสินใจตามแต่ความสุขของแต่ละคนอย่างไร้พรมแดน ... แต่มันกลับกลายเป็นที่เพิ่มความสะดวกสบายขึ้นให้กับคนติดยา

ผมเรียนรู้จาก Silk Road แล้วว่า เมื่อคุณให้อิสระกับผู้คน
คุณไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเค้าจะนำมันไปใช้ทำอะไร

ในขณะที่ผมไม่คิดว่าคนเราควรจะถูกห้าม ถ้าเค้าต้องการจะตัดสินใจทำอะไรกับตัวเค้าเอง... แต่ผมก็ไม่ได้ต้องการสร้างเว็บไซต์ที่จะเป็นเหมือนอีกท้องถนนให้เค้าได้มาเสพติดยากัน

ถ้าผมมีความเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ หรือมีความอดทนกว่านี้
ผมคงจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไปในตอนนั้น

ผมยังไร้เดียงสาในเรื่องอื่นๆเช่นกัน
ก่อนคดีความนี้ ผมไม่เคยถูกจับ ...
การติดคุก การถูกจองจำ มันเป็นเรื่องนามอธรรมสำหรับผมมาก
ผมรู้ว่ามันไม่น่าปรารถนาอยู่แล้วหละ .... แต่ก็ไม่เคยจะเข้าใจมันเลยว่าจริงๆแล้วมันเป็นยังไง

ตอนนี้ผมได้เรียนรู้แล้วว่าสิ่งที่แย่ที่สุดของมัน..
คือการที่ผมต้องถูกพรากออกจากครอบครัวและคนที่ผมรัก
รวมถึงความเศร้าโศกของพวกเค้า ...ที่มีผมเป็นสาเหตุ

ถ้าผมได้ตระหนักก่อนซักนิดว่าการสร้าง Silk Road
มันอาจจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงถึงผู้คนที่ผมห่วงใยมากที่สุดด้วย
"ผมจะไม่มีวันสร้างมันขึ้นมา"

การสร้าง Silk Road ...มันทำลายชีวิตผม ทำลายอนาคตผม
ผมทำให้ทุกสิ่งที่ครอบครัวผมเคยให้ ทั้งโอกาส ทั้งพรสวรรค์
...กลายเป็นของสูญเปล่า

ผมสามารถทำอะไรได้อีกมากมายกับชีวิตผม
กว่าผมจะเห็นมัน... ก็สายเกินไป

โทษที่ผมต้องได้รับขั้นต่ำอย่างน้อย 20 ปี
ผมสามารถสร้างสิ่งดีๆให้สังคมได้อีกมากมาย
ผมสามารถเลี้ยงดูครอบครัว
ฉลองกับทุกๆเทศกาลชีวิตไปพร้อมกับเพื่อนฝูง ครอบครัว พ่อแม่ และพี่น้องของผม

ผมบอกสิ่งนี้กับคุณเพราะผมอยากให้คุณรู้ว่า
ในขณะที่ผมก็คิดถึงความสะดวกสบายและอิสรภาพ...
สิ่งที่เจ็บปวดที่สุด มันคือการที่ผมต้องสูญเสียความสามารถที่จะคอยสนับสนุนคนที่ผมห่วงใย และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแต่ละวันของพวกเค้า

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ถ้าเพียงการลงโทษของผมพอที่จะอนุญาตให้ผมได้มีโอกาสกลับสู่สังคมอีกครั้ง ผมไม่มีวันที่จะเสียความรักที่ผมจะมอบให้พวกเค้าและเพื่อนมนุษย์ตลอดการจองจำของผม

เมื่อผมถูกปล่อยตัว ผมจะทำทุกอย่างที่ผมต้องทำเพื่อชดเชย วันเวลาที่ผมไม่ได้อยู่กับบรรดาคนที่ผมรักเหล่านั้น...ผมจะทำให้โลกนี้เป็นที่ที่ดีขึ้น

จากสิ่งที่ผมเห็น
การจำคุกตลอดชีวิตมันเหมือนกับโทษประหารชีวิต มากกว่าการที่คุณต้องติดคุกนานหลายปี
... คุณมีโอกาสตายในคุกเหมือนกัน แค่จำคุกตลอดชีวิตให้เวลาคุณนานกว่า

ซึ่งถ้าผมมีโอกาสออกจากคุก... สิบๆปีต่อจากนี้
ผมคงจะไม่ใช่คนเดิม โลกคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผมคงจะไม่ใช่พวกหัวรั้น ไปเสี่ยงทำอะไรอย่าง Silk Road ขึ้นมาอีกแน่นอน

อันที่จริง ผมคงเป็นตาแก่อายุ 50 ที่มีประวัติจำคุกติดตัว
ผมจะกลายเป็นผู้มีประสบการณ์ตรง และรู้ซึ้งดีถึงผลพวงของการกระทำผิดกฎหมายมากกว่าใครๆ

ตอนนี้ผมจะเข้าใจแล้วว่า ผมได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดอันใหญ่หลวงลงไป

ผมได้ใช้ชีวิตวัยเด็กไปแล้ว
ผมรู้ว่าคุณคงพรากวัยกลางคนของผมไป
...แต่กรุณาเหลือช่วงเวลาวัยชราให้ผมทีเถิด

กรุณาเหลือปลายแสงเล็กๆให้ผมที ที่ปลายอุโมงค์
...เป็นข้ออ้างให้ผมได้รักษาสุขภาพ
...เป็นข้ออ้างให้ผมได้ฝันถึงวันที่ดีข้างหน้า
...เป็นโอกาสให้ผมได้ไถ่ถอนชีวิต
...ในโลกแห่งอิสรภาพ
ก่อนที่ชีวิตผมจะจบลง

ด้วยความจริงใจ
Ross Ulbricht
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/69448.html

เพราะแฟนบอกเลิกฉันจึงต้องทำ “เสน่ห์ยาแฝด” จากประสบการณ์จริงของหญิงสาว


ฉันกับแฟนคบกันมา 4 ปี มีโครงการจะแต่งงานกันสิ้นปีนี้
แต่แล้วจู่ๆ เค้าก็มาบอกว่า..

"เราเลิกกัน เค้าไม่ได้รักฉันแล้ว ตอนนี้เค้าพบคนใหม่
ตลอดเวลาเค้าหลอกฉันมาตลอดว่ารัก เค้าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่สิ้นปีนี้"

ฉันทำทุกวิถีทางเพื่อจะฉุดรั้งเค้ากลับมา ฉันถามว่าฉันผิดตรงไหน ไม่ดีตรงไหน
ฉันจะปรับปรุงตัวใหม่ เค้าต้องการอะไรฉันทำให้ได้ทุกอย่างและยอมทุกอย่าง
ขอเพียงแค่ "กลับมาเหมือนเดิม" แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือความเฉยชา,
หงุดหงิด,รำคาญ ทำอะไรก็ผิดไปหมด...

เพื่อนแนะนำฉันให้.. "ไปทำเสน่ห์" ปกติฉันเป็นคนที่กลัวเรื่องพวกนี้ไม่อยาก
ยุ่งเกี่ยว ไม่อยากเข้าใกล้ แต่.... ณ จุดจุดนี้ ไม่ได้แล้ว ความรักบังตาฉันยอมทุกอย่าง....ขอเพียงได้เค้ากลับคืน อะไรก็ได้สำหรับฉัน ณ ตอนนี้....

"ปู่ฤาษี" .....คือผู้ที่เพื่อนฉันพาไปหา เพื่อนบอกว่า ...
"ท่านเก่งญาติของเพื่อน สามีหนีไปอยู่กับเมียน้อยท่าน
ก็เป็นคนเรียกกลับมาทุกวันนี้ทั้งรักทั้งหลงภรรยา ไม่ไปมีใหม่อีกเลย"

บ้านปูนชั้นเดียว มีลานจอดรถที่พอจอดรถยนต์ได้ประมาณ 10 คัน
วันแรกที่ฉันไปมีรถยนต์จอดอยู่ 3 คัน มองเข้าไปในบ้าน มีคนนั่งจนล้นออกมาข้างนอก มีเสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะ เพื่อนพาฉันเข้าไป ภาพที่ฉันเห็น "ชายหนุ่มอายุน่าจะประมาณ 28 - 29 ปี ผมยาวมีลายสักเต็มตัว นัยต์ตาหวานเยิ้ม มือคีบบุหรี่พูดไป ยิ้มไป ปล่อยมุกสนุกสนาน ทำให้ผู้ที่เข้ามาหาหัวเราะ
เป็นระยะ ๆ นุ่งชุดลายเสือ ดูดีมีเสน่ห์...

คนนี้เรอะที่เพื่อนบอกว่าเป็นปู่ฤาษี ทำไมยังหนุ่ม แต่ ณ วินาทีนั้นความรัก
บังตาไม่ได้คิดอะไรเพื่อนบอกว่าดี ฉันก็เชื่อโดยที่ไม่ได้คิดถึงเหตุการณ์
ในวันข้างหน้าเลย

เราสองคนนั่งรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง คนที่เข้ามาล็อตแรกก็ออกไป
ถึงคิวของฉันเพื่อนแต่งขันธ์ห้า (ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่) พร้อมเงิน 100 บาท
ให้ฉันเขียนชื่อ-นามสกุล พร้อมที่อยู่ ของฉันและของแฟน ยื่นให้ปู่ฤาษี

".........(เอ่ยชื่อฉัน) ดวงไม่ดี จะถูกแย่งของรัก .......
(เอ่ยชื่อแฟน) คนนี้เป็นแฟนใช่มั๊ย?" ฉันตอบ "ใช่ค่ะ"

"มีอะไรจะถาม?" ท่านถามฉัน ......เงียบ ......ฉันก็ไม่รู้จะถามอะไร
เพื่อนหันมาสะกิด "ตอบไปซิ" ก็ไม่รู้จะตอบอะไร..........

ท่านนั่งหลับตาสวดคาถาประมาณ 5-10 คำ แล้วหันมาถาม
" รักเค้ามาก ตอนนี้ใจเศร้าหมอง มีแต่คิดจะฆ่าตัวตาย .........
อยากได้เค้ากลับมามั๊ย?" ท่านหันมาถาม

"อยากได้ค่ะ" ฉันตอบ
"ถ้าอยากได้คืน จะช่วย แต่จะต้องจ้างน่ะ มีเงินเท่าไหร่?" "สองพันค่ะ"
ท่านหลับตาสักพัก "ไม่ใช่หรอก ในกระเป๋าตังค์มีเงิน ห้าพันบาท
ในสมุดบัญชีมีเงินอีก 3 หมื่น"

ฉันตกใจท่านรู้ได้อย่างไร
"ถ้าอยากได้คืน ปู่คิดค่าจ้าง 3 หมื่น" "ตกลงค่ะ!" ฉันตอบตกลง
"จะบ้าเหรอ.....3 หมื่นน่ะแก ไม่คิดก่อนหรือไง" เพื่อนฉันตกใจรีบหันมาถามฉัน
แต่สำหรับฉันตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการได้แฟนกลับคืนมา
ปู่ฤาษี มองหน้ายิ้ม ๆ "ให้ไปเอา..................................."
ท่านสั่งให้ฉันนำสิ่งของมาเข้าพิธี

รุ่งขึ้น เดินทางไปหาปู่ฤาษี ไปถึงก็มีคนมารอท่านเต็มอาศรมไปหมด
เกือบบ่าย 2 ถึงคิวฉันซะที ท่านหันมายิ้ม "เดี๋ยวจะทำน้ำมนต์ให้อาบ"
ท่านให้ฉันอาบน้ำมนต์โดยท่านเป็นผู้ปลุกเสก จะมีผู้ชายอีกคนเป็นคนอาบให้
ในระหว่างที่อาบเค้าก็จะสวดคาถาไปด้วย .....หลังจากอาบน้ำมนต์เสร็จ
ท่านก็ให้นำของที่เตรียมมาให้ ทำพิธีอยู่ประมาณ 10 นาที
หลังเสร็จพิธีท่านผูกแขนให้ฉันแล้วสั่งให้ฉันปฏิบัติตามคำสั่ง

1. ทุกวันตอนเย็น ให้ฉันเดิน 999 ก้าว โดยให้นับทีละก้าวห้ามนับผิด
หากนับผิดหรือไม่แน่ใจให้เริ่มนับใหม่

2. ก่อนนอนให้สวดมนต์ 99 จบ

3. ให้คุยกับ คุณพ่อหรือคุณแม่ทุกวัน เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังให้หมด
ห้ามปิดบังและโกหก

4. ไม่ให้รับรู้หรือพูดคุยกับแฟนโดยเด็จขาด ภายใน 15 วัน
หากผิดคำสัญญาจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่จนกว่าจะครบ 15 วัน

ท่านให้ฉันปฏิบัติอยู่ 15 วันแล้วให้กลับมาหาท่านใหม่ ซึ่งท่านสัญญาว่าภายใน 15 วัน
หากฉันทำได้ตามคำสั่งแฟนของฉันจะกลับมาหาฉันแน่นอน

ฉันรับปาก และเริ่มปฏิบัติตามที่ท่านสั่งไว้......เวลาเริ่มผ่านไปจากวันที่หนึ่ง
เป็นวันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้า.....................วันที่สิบห้า
วันที่ 15 ครบจำนวนวันที่ท่านสัญญาไว้ ฉันเดินทางไปหาท่านแต่เช้า.......
"เป็นไง.....รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่า" ท่านถาม
"ค่ะ สบายใจขึ้น มากแล้วค่ะ"

"รักเค้ามากเลยหรือ" ท่านถาม
"ค่ะ"

"ได้โทรหาแม่ทุกวันหรือเปล่า"
"โทรค่ะ"

"แม่ว่าไง เค้าเสียใจมั๊ย"

"แม่ไม่ว่าอะไรค่ะ ท่านจะคอยปลอบใจ แล้วท่านก็เสียใจมากค่ะ"

"แม่เสียใจ แล้วเราเสียใจมั๊ย"
.....ฉันเงียบ เริ่มคิด "เสียใจค่ะ"

"ตอนเราร้องไห้ แม่เค้าว่าไง"
"......แม่เค้าก็ร้องไห้ค่ะ...."

"รักแม่มั๊ย"
"รักค่ะ"

"ใครทำให้เราเสียใจ?...ใครทำให้เราเป็นแบบนี้? ผู้ชายคนนั้นใช่มั๊ย"
.......ฉันนั่งนิ่ง น้ำตาเริ่มไหล.......

"ทำงานมาเคยให้เงินแม่บ้างมั๊ย....
เวลาไปตลาดเห็นกับข้าวเคยจำได้มั๊ยว่าแม่ชอบกินอะไร
จำได้หรือเปล่าว่าตัวเราชอบกินอะไร..........
ทุกวันนี้กับข้าวที่ซื้อมากินเป็นที่เราชอบ
หรือเป็นที่ผู้ชายคนนั้นชอบ........
ทำไมต้องให้เค้ามามีอิทธิพลอยู่เหนือตัวเองขนาดนั้น

"เค้าทิ้งเราไปเพราะอะไร.......ตอบได้มั๊ย"
".......เค้าไปมีคนใหม่ค่ะ"

"ทำไมเค้าไปมีคนใหม่"
"......ไม่ทราบค่ะ" ฉันตอบไปพลางเช็ดน้ำตา

"เพราะสันดาน......เข้าใจคำว่าสันดานมั๊ย คนดี จะคิดดี ทำดี พูดดี
คนไม่ดี ความคิดมันก็เลวไปด้วย อยากจะทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้
ไปตลอดชีวิตก็จะเอามันคืนให้....
แต่ถ้าอยากจะมีความสุข ไม่อยากให้แม่เสียใจ มีชีวิตที่ดี
เจอคนดีๆ ก็เลิกกับมันซะ....
.......ปู่ไม่เคยเห็นใครตายเพราะอกหัก แต่ที่คนมันตาย
ก็เพราะมันสิ้นคิด เพราะแพ้ใจตัวเอง ใจอ่อนแอ ถ้าไม่คิด
ไม่นำจิตไปวางไว้กับมัน มันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง
บังคับตัวบังคับกายมันทำได้ แต่การบังคับใจ...ถ้าไม่แกร่งจริงมันก็ยาก

แต่ใจมันเป็นของเราถ้าเรายอมแพ้มัน เราก็จะแพ้ไปตลอดชีวิต
ถ้าเราเคยเอาชนะมันได้บังคับมันได้ เราก็จะไม่มีทุกข์
ไม่มีใครช่วยเราได้หรอกหมอที่ไหนก็รักษาให้ไม่ได้
มีแต่ตัวเรากับเวลาเท่านั้นที่ช่วยตัวเราได้

......สิบห้าวันผ่านมาเป็นไงบ้าง"
"ไม่ได้คิดอะไร ก็รู้สึกดีค่ะ"

"ทำต่อไปน่ะ ตัดใจซะ มันทำไม่ได้ทันทีหรอกแต่มันจะค่อยๆ ดีขึ้น
คิดถึงแม่ไว้ให้มากๆ ไม่สบายใจอะไรก็เล่าให้เค้าฟัง ให้มีสติ
อย่าไปจดจ่ออยู่กับมัน 15 วันผ่านมาไม่มีเค้าเราก็อยู่ได้
ไม่เห็นจะตายไม่ใช่หรือ ตัดใจซะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่น
อย่าไปใส่ใจกับมัน คนมันไม่ดีก็ปล่อยมันไปตามวิถีชีวิตของมัน........"

ปู่ฤาษี หันไปหยิบของในย่าม เป็นเงิน 3หมื่นบาท ยื่นคืนให้ฉัน
"เงิน 3หมื่น ปู่ไม่เอาหรอก ให้เอาไปเก็บไว้ 2หมื่น เอาให้แม่ 5พัน
อีก 5พัน ไปซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง แต่งตัวใหม่ให้ดูดีกว่านี้"
พูดจบแกก็หัวเราะ

"จำคำปู่ไว้ อย่าเชื่อใจคน อย่ามองเพียงแค่ภายนอก
แล้วอย่าไปทำเสน่ห์ที่ไหนอีก
ทุกคนมีเสน่ห์อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่เสน่ห์ที่เรามีจะถูกใจใครเท่านั้น
พวกนุ่งผ้าเหลือง ผ้าขาว บางคนสักแต่เอาผ้ามาห่ม แต่ใจมันไม่ใช่คน
เราเป็นผู้หญิงต้องระวังตัวให้ดี ถ้าเจอคนดีก็ดีไป
ถ้าเจอพวกไม่ดีเราจะเสียทั้งตัว เสียทั้งเงิน เสียทั้งใจ

จะไปโทษใครบอกใครก็ไม่ได้ เราโง่เอง ...หยุด...ห้ามไปทำเสน่ห์ที่ไหนอีก
จำคำปู่ไว้ให้ขึ้นใจ วันนี้แฟนเราจะมาหา ก็ตัดสินใจเอาก็แล้วกัน"
ฉันกลับที่พัก เริ่มนั่งคิดทบทวน เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา
ความเจ็บปวดที่เคยมี ทุกครั้งฉันแทบจะทนไม่ได้ถ้าคิดถึงเค้า

แต่ตอนนี้ทำไมความเจ็บปวดมันลดลง เริ่มมองเห็นสิ่งต่าง ๆที่ผ่านมา
จิตใจที่เคยอ่อนแอ มันเริ่มแข็งแรงตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันไม่รู้
น้ำตาที่เคยไหลไม่หยุดหากเมื่อไหร่ที่คิดถึงเค้า ทำไมมันหายไปไหน
คำสอนของปู่ก้องอยู่ในสองหู ฉันตัดสินใจ.....จากนี้ต่อไปฉันต้องเข้มแข็ง

...........เสียงเคาะประตูหน้าห้อง.....
"ใครค่ะ?" ฉันถาม
"เราเอง" เหมือนที่ปู่บอกไว้ไม่ผิด เค้ามาจริงๆ
ใจที่เคยเด็ดเดี่ยวเมื่อครู่หายไปไหนหมด
หัวใจเต้นแรง ใจเริ่มอ่อน เริ่มหวั่นไหว........

"มีธุระอะไร?" ฉันไม่ยอมเปิดประตู
".....เราคิดถึง.....เปิดประตูให้เราหน่อย"

.......ฉันเริ่มสับสน น้ำตาเริ่มไหล จะทำไงดี...
คิดถึงคำพูดของปู่ฤาษี คิดถึงหน้าแม่.......

"กลับไปก่อนน่ะ วันนี้เรายังไม่อยากคุย ตอนนี้เราอยู่กับแม่ กลับไปเถอะ"
ฉันโกหกเพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอ หากเจอเค้าวันนี้ฉันต้องใจอ่อนแน่นอน

........................................................

ทุกวันนี้ฉันฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน ผู้ให้ชีวิตใหม่แก่ฉัน
ถ้าไม่มีท่านฉันก็ไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะต้องพบเจออะไร อาจจะเจอสิ่งที่เลวร้าย
เจอพวกซาตานในคราบนักบุญ ต้องเสียทั้งตัว เสียทั้งใจ จึงอยากจะขอเตือนเพื่อนๆ
ที่คิดจะไปทำเสน่ห์ ให้ไตร่ตรองให้ดี ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเหมือนฉันเสมอไปน่ะค่ะ
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/69443.html

Monday, June 8, 2015

อุทาหรณ์!! เด็กทารกอายุเพียง 2 วันต้องถูกตัดแขนเพราะ อาม่าผู้หวังดี แต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์


โดยทั่วไปแล้ว เด็กทารกแรกเกิดจะอ่อนแอและบอบบาง ถ้าไม่ระวัง เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ก่อให้เกิดเหตุณ์ที่คาดไม่ถึงได้ ! อย่างเช่นในเคสนี้ เด็กทารกคนหนึ่งชื่อน้องเถียนเถียน เกิดจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์จนทำให้เด็กน้อยเสียแขนขวาไปในที่สุด

ความหวังดีของอาม่ากลายเป็นเรื่องน่าเศร้า


ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นจัด อาม่ากลัวหลานจะป่วยจึงนำเสื้อมาใส่ให้หลานเถียนเถียน แต่เสื้อหลวมไปอาม่าเลยเอาหนังยางหลายๆเส้นมารัดบริเวณท่อนแขนล่างของหลาน หลังจากนั้น เมื่อพ่อของน้องเถียนเถียนนำเด็กน้อยไปอาบน้ำก็ปรากฏว่า แขนท่อนล่างมีอาการห้อเลือดเป็นสีม่วงคล้ำและบวม

จากนั้นจึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน แพทย์วินิจฉัยว่าอาการนี้เกิดจากสาเหตุที่รัดช่วงแขนจนแน่นและแนะนำให้ย้ายไปโรงพยาบาลที่มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ครบครัน เป็นไปได้ที่น้องจะต้องถูกตัดแขนส่วนนี้เพราะว่าแขนท่อนล่างห้อเลือด ส่วนอุณหภูมิร่างกายของน้องก็ต่ำลง และมีโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก



1.ทางแพทย์พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยรักษาแขนของน้องเถียนเถียนไว้ แต่ระบบเส้นประสาทและเส้นเอ็นไม่ทำการตอบสนองแล้ว ดังนั้น เถียนเถียนจึงต้องเสียแขนข้างนี้ไปในที่สุด โธ่... เพิ่งเกิดมาดูโลกเพียงไม่นานก็ต้องเสียแขนไป น่าเศร้าสลดจริงๆ

เรื่องที่ควรระมัดระวังในการเลี้ยงดูเด็กทารก เมื่อพบเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องควรรีบห้ามปราม



2. พบเห็นกันบ่อยในกรณี ผู้ปกครองเคี้ยวอาหารด้วยปากของตนเองเพื่อทำให้อาหารละเอียดก่อนแล้วนำไปป้อนต่อให้เด็ก โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าช่องปากของท่านผู้ปกครองเองนั้นมีเชื้อแบคทีเรียอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เด็กๆที่รับประทานหลังจากผ่านการบดเคี้ยวด้วยปากของผู้ปกครองแล้วนั้นเกิดอาการป่วยได้



3. ผู้ปกครองมักให้เด็กนั่งคนเดียวที่โซฟาหรือบนเตียง เพราะคิดว่าเด็กยังเล็กไม่น่าจะมีการเคลื่อนไหวมากมาย ในกรณีเป็นไปได้ที่เด็กจะตกลงมาและเกิดการกระแทก จนทำให้เกิดอาการเลือดคั่งในสมองได้



4. เวลาอาบน้ำให้เด็กทารก ถ้าเทน้ำร้อนลงอ่างอาบน้ำก่อนต้องระวังอุณหภูมิของน้ำ มิฉะนั้นจะทำให้น้ำร้อนลวกเด็กได้ ที่ถูกต้องควรใส่น้ำเย็นลงในอ่างน้ำก่อนแล้วตามด้วยน้ำร้อนเพื่อควบคุมอุณหภูมิได้



6. ผู้ปกครองชอบนำเครื่องรางของขลังจากวัดมาให้เด็กห้อยเพื่อเป็นการคุ้มครองเด็ก แต่เนื่องด้วยเด็กนั้นยังเล็ก ไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร จึงไม่ระวังทำให้ไปปิดระบบทางเดินหายใจ อาทิเช่น จมูกและปาก จนทำให้ถึงแก่ชีวิตได้



6. ด้วยความที่ผู้ปกครองอยากให้เด็กเดินเป็นเร็วๆ จึงไปซื้อรถช่วยเดินมาให้เด็กนั่งและหัดเดิน โดยรู้เท่าไม่ถงการณ์ว่าการใช้รถช่วยเดินนั้นต้องปรับระดับความสูงของรถให้เหมาะสมกับความยาวของขาเด็ก ซึ่งมีผลต่อการเดินพยุงตัว และอาจเกิดอาการขางอในเด็กได้

ช่วยกันแชร์ความรู้เหล่านี้ จะได้ไม่เกิดเรื่องร้ายๆกับเด็กๆในครอบครัวเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์!
ที่มา http://variety.teenee.com

บ่อเพชร? หลุมยักษ์ในแอฟริกาใต้กับมูลค่าที่ยากจะประเมิน!


เพชรแอฟริกาใต้นั้นมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีคนต่างถิ่นจำนวนมากเข้าไปทำธุรกิจเหมืองเพชร ทำให้แอฟริกาใต้กลายเป็นเมืองแห่งเหมืองเพชรเลยล่ะ

นาย Dillon Marsh นักถ่ายภาพรายหนึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องราวของการทำธุรกิจนี้ผ่านเลนส์กล้องของเขา"ธุรกิจที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศแอฟริกาใต้เติบโตและมีประวัติศาสตร์" เมื่อคุณเห็นอุโมงค์ยักษ์แบบนี้ก็เหมือนร่องรอยที่ทำให้สามารถรับรู้ได้ถึงยุคสมัยที่คนแห่กันเข้ามาล่าเพชรว่ามันเยอะซะจนน่าตกใจขนาดไหน หากว่านำเพชรทั้งหมดที่ขุดได้มารวมกันอาจจะมีขนาดเท่าลูกบอลชายหาดเพียงหนึ่งลูกแต่ไม่ต้องพูดเลยล่ะว่ามูลค่าจะมหาศาลขนาดไหน!

เพื่อที่จะเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัดเจน นาย Dillon Marsh ได้ถ่ายรูปเหมืองทั้งเหมืองเอาไว้ และปักเพชรปลอมที่มีขนาดเท่ากับเพชรที่ขุดได้จากเหมืองแต่ละแห่งแล้วเทียบให้ดูกันชัดๆไปเลย แถมขนาดของเพชรในแต่ละเหมืองเนี่ยเป็นสัญลักษณ์ความรุ่งเรืองของเหมืองนั้นๆเลยล่ะ
เหมือง Kimberly เปิดเหมืองในปี 1874-1914 เคยมีเพชรถูกขุดจากตรงนี้ 1,450,000 กะรัตเชียวล่ะ




Koffiefontein เปิดเหมืองในปี 1870-2014 รวมปริมาณเพชรที่ขุดได้ 760,000 กะรัต


เหมือง Jagersfontein เปิดเหมืองในปี1871-1969 รวมปริมาณเพชรที่ขุดได้ 9,520,000กะรัต

ขนาดของเจ้าหลุมเหล่านี้กับปริมาณเพชรที่ขุดได้มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวเชียวล่ะ
เพชรนั้นเปรียบเสมือนตัวแทนของความรักนิรันดร์ แถมยังสามารถเป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งและหน้าตาในสังคม แต่ที่ต้องแลกด้วยการทำลายธรรมชาติมากมายขนาดนี้เพื่อเติมเต็มความต้องการของมนุษย์ มันคุ้มค่ากันแล้วหรอ?

แล้วคุณล่ะคิดยังไง?

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/69406.html

Sunday, June 7, 2015

สาวไทยใจสั่น!! ดูไบขาดแคลนสตรีอย่างหนัก มีผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 3 เท่า


สาวๆหลายคนเห็นข่าวนี้แล้วอาจจะรีบแพ็คกระเป๋าไปดูไบทันที เพราะจากผลสำรวจล่าสุดของศูนย์สถิติแห่งดูไบ (ดีเอสซี) พบว่านครดูไบมีผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึง 3 เท่า!! มีนักวิเคราะห์ออกมาเตือนว่าดูไบอาจเผชิญปัญหาสังคมครั้งใหญ่เพราะมีผู้หญิง ไม่เพียงพอ

โดยถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็น ของจำนวนเพศชายจะอยู่ที่ 75.77 % ในคณะที่ผู้หญิงมีสัดส่วนแค่ 24.23 % จากจำนวนประ 2.1 ล้านคนเท่านั้น น้อยจริงๆเลย

มีทีม วิจัยออกมาบอกว่าสาเหตุที่มีผู้ชายมากมายขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่ามีแรงงานจาก ต่างชาติ โดยเฉพาะจาก อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ และโซมาเลีย ที่เป็นผู้ชายเข้ามาทำงานในดูไบซะเป็นส่วนใหญ่


และ ยังมีการคาดการณ์กันอีกว่าชาวดูไบจะมีประชากรเพิ่มขึ้นอัตรา 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวอายุระหว่าง 20-39 ปี ยังรุ่นๆกันอยู่เลย

แถมชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่มาทำงานก็ไม่ได้พกเมียมาด้วย นั่นทำให้ชายหนุ่มยิ่งเพิ่มขึ้นมากไปอีกไงล่ะ

แหมความคิดบรรเจิดมากนะเมี๊ยววว ใครอยากเป็นเศรษฐีนีก็ลองไปเที่ยวดูไบดูสักครั้งนะเหมียว อาจจะมีติดไม้ติดมือกลับมาก็ได้
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/69382.html

9 เรื่องธรรมดาๆของคนไทย แต่ยิ่งใหญ่สำหรับชาวต่างชาติ


เว็บไซต์ All Women Stalk ของต่างประเทศได้เขียนบทความหนึ่งที่มีชื่อว่า “9 Amazing Little Things to Try in Thailand” เป็น 9 สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหับคนไทย แต่สำหรับชาวต่างชาติแล้วถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แสนวิเศษเลยก็ว่าได้ครับ จะมีอะไรบ้างเราไปดูกันเลย

1. Fruit Smoothies
น้ำ ผลไม้ปั่นเมืองไทยหาดื่มได้ง่ายมาก เรียกได้ว่าแทบจะทุกมุมถนนเลยทีเดียว รถชาติถูกปากชาวต่างชาติแบบสุดๆ ที่สำคัญราคายังถูกมากอีกด้วย


2. Hire a Moped
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีรถจักรยานยนต์มากที่สุด สำหรับชาวต่างชาติแล้วการนั่งรถมอร์เตอร์ไซต์เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น มาก แถมยังสะดวกรวดเร็ว ราคาถูก ถึงแม้จะหวาดเสียวไปหน่อยก็ตาม


3. Get a Tuk-Tuk Ride
อีก หนึ่งไฮไลท์ของไทยที่ชาวต่างชาติต้องได้สัมฟัสสักครั้งนั่นก็คือ รถตุ๊กตุ๊ก แม้จะดูน่ากลัวสักหน่อย แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ


4. Buy a Fresh Fish
สำหรับ ชาวต่างชาติ อาหารสดอย่างเช่นปลาสดและอาหารทะเล ค่อนข้างหารับประทานได้ยาก แถมยังมีราคาแพง แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว อยู่ที่ไหนก็หากินได้ แถมราคาก็ไม่แพงอีกด้วย


5. Take a Long-tail Boat Taxi
หาดสวย ๆ ในไทยนั้นมีมากมายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี หากอยากได้บรรยากาศสุดชิลก็อย่าพลาดนั่งเรือหางยาวไปเที่ยวชมเกาะนั้นเกาะ นี้ รวมทั้งกิจกรรมดำน้ำชมปะการังด้วย

6. Visit a Night Market
ตลาด นัดตอนกลางคืนที่มีอยู่มากมายหลายแห่งทั่วไทย ที่ชาวต่างชาติสามารถหาซื้อของใช้และของที่ระลึกติดไม้ติดมือไปฝากคนรู้จัก และที่ชาวต่างชาติชอบมากที่สุดก็คือ อาหารข้างทางนั่นเอง


7. Eat an Ice Cream Sandwich
ขนม ปังไอศกรีมหาซื้อได้ง่ายตามรถเข็น อาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาของคนไทย แต่ความหอมอร่อยของไอศกรีมกะทิสดนั้น ทำให้ต่างชาติพากันยกนิ้วให้เลยหล่ะ


8. Stay in a Beach Shack
กระท่อม ริมหาด ที่พักที่มีเอกลักษณ์และมีเสน่ห์น่าสนใจในสายตาต่างชาติ ใครที่ได้มาประเทศไทยแล้วไม่ได้พักกระท่อมริมหาด ถือว่ายังมาไม่ถึงประเทศไทยเลยก็ว่าได้


9. Drive and Explore
ก่อน ไปถึงจุดหมายปลายทาง ตามจุดต่างๆระหว่างทางก็มีสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยที่สามารถแวะเที่ยวได้ไม่มี วันหมดสิ้น นี่แหละสเน่ห์ของประเทศไทยที่น่าค้นหาสำหรับชาวต่างชาติครับ

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/69397.html

เศร้า! หนุ่มศัลยกรรมทั้งตัวให้เป็นตุ๊กตาเคนเสียชีวิตลงแล้ว โดยโรคลูคีเมีย!


เว็บไซต์ Floridanewstime ได้รายงานข่าวการเสียชีวิตของหนุ่ม เซลโซ ซานเตบาเนส ชาวบราซิล ซึ่งเป็นหนุ่มที่มีความฝันอยากจะเป็นเหมือนตุ๊กตาเคน แฟนของตุ๊กตาบาร์บี้ และเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการทำศัลยกรรมแทบจะเกือบทั้งตัวมา ตั้งแต่อายุ 16 ก่อนที่เขาจะมาจบชีวิตลงในวัยเพียง 20 ปี หลังต่อสู้กับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย มาเป็นระยะเวลากว่า 5 เดือน!

เซลโซ เป็นวัยรุ่นชาวบราซิล ที่เริ่มลงมือทำการศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมือนตุ๊กตาเคน ตามความฝันของเขาตั้งแต่อายุ 16 ปี หลังจากที่เขาชนะการประกวดเข้าสู่วงการนายแบบ และนำเงินรางวัลในตอนนั้นเพื่อมาแปลงโฉมตัวเองให้เหมือนตุ๊กตาเคนมากที่สุด และเขาก็ประสบความสำเร็จในการทำตามความฝัน เพราะทั้งครอบครัว และเหล่าคนบันเทิงก็มักจะพูดกับเขาเสมอว่า เขาเป็นตุ๊กตาเคนในร่างมนุษย์ที่เหมือนที่สุด

ซึ่งเซลโซใช้เวลา 4 ปี ตั้งแต่อายุ 16 ในการทำศัลยกรรมและดูแลตัวเองมาเรื่อยๆ

แต่แล้วข่าวร้ายก็มาเกิดขึ้นกับเขา เมื่อเขามาตรวจพบว่าเขาเป็นมะเร็งขณะที่กำลังฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์เข้าที่ต้นขา และมารับรู้อีกว่าเขานั้นกำลังเป็นป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเขาใช้ระยะเวลากว่า 5 เดือนในการต่อสู้โรคร้าย ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอูเบอร์แลนเดีย

ซึ่ง ก่อนเขาเสียชีวิตนั้น เขาได้กล่าวว่า เขาไม่ได้รู้สึกเศร้าที่ชีวิตเขามันสั้นนัก ซึ่งเขารู้สึกดีใจที่ก่อนที่เขาจะตาย เขาสามารถทำความฝันที่อยากจะเป็นเหมือนตุ๊กตาเคนได้สำเร็จแล้ว …



ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/69392.html

เรื่องจริงจากคุณหมอ นาทีแห่งชีวิต ความดีงามที่น่าบอกเล่าต่อ


ปลายเดือน เมษายน 2555 โดนโรงพยาบาลโทรตามกลางดึก รายงานว่ามีคนไข้ผ่าตัดคลอดมาจากที่อื่น แล้วมีตกเลือดในช่องท้อง ตอนนี้อาการแย่มาก เลือดไม่แข็งตัว เลือดเหลือแค่ 3%(ปกติคนเรามีเลือด 35-42%) เหลือเลือดแค่ 3%จริงๆ หมอที่ผ่าอยู่ทำสุดความสามารถแล้ว...ขอตัวช่วย..ให้ไปช่วยคนไข้รายนี้หน่อย


อาชีพ หมอต้องพร้อมอยู่เสมอ ล้างหน้านิดหน่อย แล้วขับรถเหยียบมิดไปโรงพยาบาล .. ห้องผ่าตัด ทุกคนในห้องมีสีหน้าตระหนก เพราะเหลือเลือดแค่ 3%ไม่น่ารอด ก่อนเข้าผ่าตัดก็เดินเข้ามาบีบมือคนไข้ มองหน้าคนไข้คนนี้ทีนึง บอกในใจว่าเขาต้องไม่ตาย มีลูกมีสามีมีพ่อมีแม่คอยเขาอยู่.. เราคือความหวังสุดท้าย พอเข้าไปผ่าตัดก็พบว่าเลือดออกที่เส้นเลือดใหญ่ของมดลูกด้านซ้าย เลือดซึมไปทางด้านหลังขึ้นไปจนถึงกระบังลม เป็นก้อนเลือดขนาดใหญ่มาก ควักเอาเลือดออกมาเท่าไหร่ก็ไม่หมด แต่สุดท้ายก็หยุดจุดเลือดออกจนได้ เอาเลือดออกจนหมดได้ เอาผ้ากดปิดไว้ให้เลือดหยุด ผ่าไปก็ชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆคลายความตึงเครียด ผ่าเสร็จส่งคนไข้ไป ICU ให้เลือด ให้สารแข็งตัวของเลือด อีกสามวันต่อมาก็ผ่าเอาผ้าที่กดห้ามเลือดไว้ออก..อีกไม่กี่วันคนไข้คนนี้ก็ กลับบ้านได้

เวลาผ่านไป 3 ปี...วันนี้ตรวจคนไข้คนนึง ตรวจเสร็จคนไข้ถามว่าหมอจำหนูได้หรือเปล่า ..ก็จำไม่ได้จริงๆ...คนไข้บอกว่าหนูคือคนที่หมอช่วยหนูไว้เมือ3ปีก่อน ..พอเริ่มจำได้ก็รู้สึกดีใจมากที่ได้เจอกันอีกที ขอบีบมืออีกที รำลึกถึงตอนที่บีบมือเขาในวันนั้น รู้สึกดีใจจริงๆที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในวันนี้ จนคนไข้ออกไปจากห้องแล้ว มีคนไข้คนใหม่เข้ามาแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่อยากให้เวลาอย่างนี้ผ่านไปเฉยๆ เลยให้ลูกน้องไปตามกลับมา บอกหมออยากเจออีกครั้ง ขอถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย .. เพราะเจอใครสักคนที่เราเคยช่วยชีวิตเขาไว้มันเป็นความภาคภูมิใจของคนเป็นหมอ อย่างเราจริงๆ


ขอบคุณเรื่องราวดีดี จาก คุณหมอ อานนท์ เรืองอุตมานันท์
นพ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์ FB
ที่มา  http://variety.teenee.com/foodforbrain/69378.html

ชาวเน็ตชม!! เลกเชอร์ชีวะ น้องปราง ผู้สอบได้คะแนนแอดมิดชั่นสูงสุด เป๊ะมาก!! (ชมภาพ)


ชาวเน็ตแห่แชร์ภาพ "เลกเชอร์วิชาชีวะ" ของ "น้องปราง ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา" นักเรียนผู้สอบได้คะแนนแอดมิชชั่นปี58 สูงสุดของประเทศ! เขียนเป็นระเบียบเรียบร้อย อ่านง่านแถมเนื้อหาแน่น!!


เมื่อ วันที่ 5 มิ.ย.58 จากกรณีการประกาศผลแอดมิชชั่น 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดคือ น้องปราง ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา นักเรียนสายวิทย์-คณิต โรงเรียนมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยสอบได้ 91.60 คะแนน ซึ่งน้องปรางเลือกคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอันดับ 1 ซึ่งมีความตั้งใจอยากจะเรียนในสาขาภาพยนตร์-โฆษณา ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดบนโลกออนไลน์เพจเฟซบุ๊ก "Attavit Panyapinyophol" ได้มีการแชร์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า "เอาเลกเชอร์ชีวะครูบาสคอร์ส admission ของน้องปราง น.ส.ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา รร.สาธิตมศว.ปทุมวัน ผู้สอบadmissionได้คะแนนสูงสุดของประเทศไทยปีล่าสุดมาอวด ไว้เป็นแบบอย่างให้น้องๆรุ่นต่อไปนะครับ"



โดย ในภาพเผยให้เห็นเลกเชอร์ของน้องปราง ที่เขียนด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย อ่านง่ายสบายตา อัดแน่นด้วยเนื้อหาสาระสำคัญ ซึ่งชาวเน็ตที่ได้เห็นต่างพากันชื่นชมในความเก่งและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่แปลกใจเลยที่น้องสอบได้คะแนนสูงสุด เพราะแค่ดูจากเลกเชอร์ที่อ่านง่าย สะอาดเรียบร้อย ดูเป็นแถวเป็นแนวระเบียบ หรือบางคนบอกว่า สรุปได้เข้าใจง่ายมากเห็นเเล้วทำให้ชีวะกลายเป็นศิลปะน่าอ่านขึ้นมาทันที



  

ที่มา  http://variety.teenee.com/foodforbrain/69380.html

Saturday, June 6, 2015

พิธีขอขมาเมีย หนุ่มนักรักทั้งหลายดูไว้ ทำผิดพลาดไปยังไง คนที่พร้อมให้อภัยยังรอยู่ที่บ้าน


ขอยกให้คลิปนี้เป็นคลิปดีเด่นแห่งปี สำหรับสมาคมคนรักครอบครัวเลยจ๊ะ! ดูเอาไว้
เลยนะพวกหนุ่มเจ้าชู้ทั้งหลาย ทำผิดทำพลาดยังไง ก็อย่าเนียนทำไม่รู้ไม่ชี้ หรือหนีหายเด็ดขาด
เพราะยังไงคนที่รออยู่ที่บ้าน ก็อยากฟังเหตุผลและคำขอโทษ แค่นั่นเอง


Boxza รู้สึกขนลุกกับคำสั้นๆว่า "ไม่ เป็น ไร" มากๆ

เลยนะคะ นอกจากจะเห็นความจริงใจของชายหนุ่มแล้ว เรายังได้เห็นความรักและความเข้าใจของ

ฝ่ายหญิงอีกด้วย ทีนีก็จำไว้เลยนะพ่อทูนหัวว่าการให้อภัยมีไว้สำหรับคนที่เห็นค่าของมันเท่านั้น!!



ส่วนใครที่สนใจพิธีขอขมาเมียแบบนี้ก็ไม่สงวนสิทธิ์ แต่ที่สำคัญคือต้องมีความจริงใจ

และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองนะคะ
ทีมา : http://news.boxza.com/view/29803

Friday, June 5, 2015

ขอบคุณสามีเลวๆ ที่ทำให้รู้จักคำว่าอดทนและเข้มแข็ง

ถึงวันนี้เข้าปีที่8ที่แต่งงานกันมา


ชีวิต จขกท ทุกข์ มากกว่าสุข หลายเท่า เสียน้ำตากับความเลวของสามีมามาก
ทั้งเรื่องที่ถูกดูถูกสารพัด ติดเหล้า ติดเพื่อน ทำร้ายร่างกาย
จขกท ผ่านช่วงเวลาที่มืดมน เก็บกด ดูถูกตัวเอง ซึมเศร้า ไม่กล้าคุยกับเพื่อนเพราะอาย
อายที่ชีวิตผกผัน จากเคย สวย เด่น เก่ง พร้อม แต่กลับเลือกคนผิด ปล่อยให้ผช เลวๆครอบงำชีวิต
ไม่เป็นตัวของตัวเอง ยอมทุกอย่าง ทนทุกอย่าง หวังว่าความดีจะช่วย
มาวันนี้ ได้รู้ความลับเพิ่มว่าสามีแอบมีเฟสไว้คุยกับสาวๆโดยเฉพาะ แปลกที่น้ำตาไม่มีสักหยด จขกท คงเจ็บจนชินชา
ยังคงทำหน้าที่แม่ เมียไม่บกพร่อง ความรู้สึกคงหมดรักนานแล้ว
ทุกวันนี้ คำพูดทำร้ายจิตใจของ ผช คนนี้ยังวนเวียน ที่จำได้ไม่ลืมคือ ตอนแต่งงาน ไม่มีการให้สินสอดใดๆ แม่เราเสียใจนะแต่เก็บอาการ
แต่ ผช คนนี้พูดกับเราว่า เธอเคยมีลูกมาแล้วยังคิดจะเรียกร้องอะไรเหรอ ทั้งที่ แต่งเข้าบ้านเรา โง่เองที่เลือกผชคนนี้
รอแค่วันที่ จขกท ยืนได้ด้วยตนเอง คงอีกไม่นาน
เพราะ จขกท สอบราชการได้แล้ว อีกไม่เกิน 3 เดือนจะได้บรรจุ
ความฝันที่จะได้ดูแลลูกด้วยมือตัวเอง ปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน คงไม่นานเกินรอ


ความเจ็บปวดที่มีสามีผิด มันจะกลายเป็นแรงผลักดันให้เราถ้าเราเข้มแข็งและอดทน รอจังหวะชีวิตที่เหมาะสม


วันที่เราแกร่งพอ จะขอเดินออกมาอย่างไม่ลังเล และคงได้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอีกคน
ทีมา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/69359.html

"พระองค์เจ้าไกรสร" พระองค์เจ้าผู้มากับความ “แซ่บ”!!!!


ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ ๓ จะขึ้นครองราชย์นั้น พระองค์ได้ทรงงานในตำแหน่งสำคัญหลายๆ ตำแหน่งจนสนิทชิดเชื้อกับพระประยูรญาติที่ร่วมงานอยู่เป็นแก๊งเป็นกลุ่ม เช่น พระองค์เจ้าอภัยทัต กรมหลวงเทพพลภักดิ์ และ "พระองค์เจ้าไกรสร" ซึ่งถือกันว่าสนิทกันจนเป็น "เพื่อนทุกข์เพื่อนยาก" ของรัชกาลที่ ๓ เลยทีเดียว


พระองค์เจ้าไกรสรเป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ ๑ (พระเจ้าปู่ของรัชกาลที่ ๓) กับเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว ธิดาพระยาจักรีนครศรีธรรมราช จึงถือได้ว่าทรงมีศักดิ์เป็นอาของรัชกาลที่ ๓หากแต่มีอายุไล่เลี่ยกัน จึงได้รับราชการร่วมกับพระองค์เจ้าทับ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ ๓ ในเวลาต่อมา) โดยส่วนตัวนั้นพระองค์ทรงเป็นคนที่ "ซ่า" "กล้า" และ "เปรี้ยว" ตรัสอะไรก็ตรัสตรงๆ ไม่ชอบขี้หน้าใครก็แสดงตนชัดเจน กล้าได้กล้าเสีย ทำอะไรไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมจนเป็นที่เคารพยำเกรง (กึ่งกลัว) ของขุนนางและเจ้านายต่างๆ ทรงชำนาญในคาถาอาคมและพระธรรมคัมภีร์จนได้กำกับกรมสังฆการี (ดูแลกิจการศาสนา)

ในช่วงปลายรัชสมัยของรัชกาลที่ ๒ ที่เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนเจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ ๔) กับ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ ๓) พระองค์เจ้าไกรสรแสดงตัวชัดเจนว่า ‪#‎ทีมกรมหมื่นเจษฎา‬ และกระทำทุกวิถีทางที่จะทำให้พระญาติสนิทของพระองค์ผู้นี้ได้ราชบัลลังก์ จนในที่สุดเมื่อราชบัลลังก์ตกแก่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระองค์เจ้าไกรสรก็ได้อวยยศเป็น "กรมหลวงรักษ์รณเรศ" กำกับกิจการศาลและการจ่ายเบี้ยหวัด ซึ่งถือว่ามีอำนาจมากทีเดียว

นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นไม่กี่คนที่แสดงตัวเป็นศัตรูกับเจ้าฟ้ามงกุฎอย่างเปิดเผย เป็นต้นว่าเอาข้าวต้มร้อนๆ ไปใส่บาตรพระธรรมยุตจนฉันแทบไม่ได้กันเลยทีเดียวเชียว
นับวันพระองค์เจ้าไกรสรผู้นี้ก็ทวีอำนาจขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อกรมพระราชวังมหาศักดิพลเสพ ผู้ซึ่งเป็นวังหน้าทิวงคตไป พระองค์ก็กลายเป็นเจ้านายอาวุโสสูงทรงอำนาจมากที่สุด และด้วยพระอุปนิสัยของพระองค์ที่ทรง "เปรี้ยว" มากจึงได้ไปขัดแข้งขัดขากับเจ้านายหลายพระองค์ อีกทั้งอำนาจของพระองค์ก็ดูจะมากขึ้นไปไร้ขีดจำกัด จึงมีผู้หาทางกำจัดพระองค์อยู่หลายทาง

ในที่สุดพระองค์ก็โดนบัตรสนเท่ห์หลายประการ อาทิเช่น ตัดสินคดีไม่เป็นธรรม รับสินบน ทำตนเสมอเจ้า ซ่องสุมกำลังเตรียมกบฎ ฯลฯ และทุกข้อหาพระองคืก็ตอบแก้ตางไปด้วยวาจาที่ "แซ่บ" เหลือประมาณ อาทิเช่น

พนักงานสอบสวน: พระองค์ซ่องสุมกำลังมอญไว้มากมายอย่างนี้จะคิดกบฎหรือ
พระองค์เจ้าไกรสร: ปล๊าววว แต่ถ้าผลัดแผ่นดินเมื่อไหร่ก็ไม่ยอมเป็นขี้ข้าใครหรอกนะ

และข้อหาที่ถือว่าเป็นบทสนทนาที่ "เด็ด" ที่สุดของพระองค์ก็คือ "เล่นสวาท" (ความสัมพันธ์ ชาย-ชาย)เนื่องด้วยว่าพระองคืไม่โปรดประทับกับหม่อมของพระองค์เท่าไหร่ แต่กลับไปอยู่กับคณะละคร (ชายล้วน) ของพระองค์มากกว่า บางทีก็บรรทมในโรงละครเลย และพระองค์ก็ใจกล้า เปิดตัวไม่ได้แอบใคร (ก็ใครจะทำไม) โดยเฉพาะนายขุนทองและนายแย้ม โปรดเป็นพิเศษ เมื่อคณะสอบสวนจับมาสอบก็ได้ความว่าได้เล่นสวาทกันจริง แต่ยังไม่ถึงขั้นสอดใส่ เพียงแต่
"เอามือของนายละครและมือของท่านกำคุยหฐานด้วยกันทั้งสองฝ่ายให้สำเร็จภาวะธาตุเคลื่อนพร้อมกัน"(แลกกันใช้มือสำเร็จความใคร่นั่นเอง จะสังเกตว่าพงศาวดารบันทึกไว้ละเอียดจนจินตนาการภาพตามได้เลยทีเดียว)

แต่สิ่งที่จัดจ้านกว่าคือคำแก้ต่างของตัวพระองค์เจ้าไกรสรเอง ซึ่งก็ได้มีวิวาทะกันอย่างเผ็ดร้อน ใส่พริกสิบเม้ด

ผู้สอบสวน: พระองค์มีหม่อมแล้วกลับไปอยู่กับพวกละครเล่นสวาทกัน ไม่อายฟ้าดินบ้างหรือ?
พระองค์เจ้าไกรสร: แล้วการที่ข้าจะไปอยู่กับใคร มันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน (และหนักหัวพวกท่าน) อย่างไรหรือ?

ในที่สุด พระองค์ก็โดนตัดสินให้ถอดยศถอดสกุลให้หมด และสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ในข้อหากบฎ พร้อมๆกับบ่าวไพร่จำนวนหนึ่ง และยังโดนลงทัณฑ์ด้วยคำพูดในพระราชพงศาวดารอีกที่เขียนถึงพระองค์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง (เหมาะแก่การเอาไปเป็นคำด่ายิ่งนัก) ว่า

"เป็นพืชพันธุ์ลูกอียายเดนเกือก เป็นคนอุบาทว์บ้านอุบาทว์เมือง"

และ
"อย่าว่าแต่มนุษย์เขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน"

อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ยังคง "ความแซ่บ" ของพระองค์จนหยดสุดท้าย เมื่อเพชฌฆาตซึ่งเป็นลูกน้องเก่าของพระองค์จะลงมือประหารพระองค์ ด้วยความเกรงกลัวที่จะประการนายเก่าตัวเองจึงเกร็งขนาดลงไปผิดตำแหน่ง พระองค์ก็ยังอุตส่าห์ด่ามาจากภายในถุงแดงที่ใช้ห่อพระกายไว้ว่า

"ไอ้พวกนี้ กูสอนไม่จำ"

เป็นอันว่าพระองค์เป็นผู้มากับความแซ่บจนนาทีสุดท้ายทีเดียว



ป.ล. สังเกตว่าพระเชษฐาของพระองค์ คือ กรมหลวงเทพพลภักดิ์ ก็มีจริตไม่ประทับกับหม่อม แต่ไปอยู่กับคนละคร (ชาย) เหมือนกัน
ป.ล.2 สายสกุลของพระองค์ถูกถอดยศ แต่ได้รับพระราชทานใหม่ว่า พึ่งบุญ ซึ่งก็เป็นสกุลของ "เจ้าพระยารามราฆพ" และ "พระยาอนิรุทธเทวา" คนสนิทของรัชกาลที่ ๖ นั่นเอง
ทีมา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/69367.html

เรียบร้อย! อาจารย์ยอร์ช นักสักยันต์หน้าตาดี เจอของดีเข้าแล้ว ถึงกับพูดไม่ออก


ณ เพลานี้ ใครที่ไม่รู้จักหรือเคยเห็นภาพของนักสักยันต์วัยใสชื่อ อาจารย์ยอร์ช ก็ถือว่าคุณตกข่าวมากๆ เพราะลงแทบทุกสื่อทั้ง นสพ. ข่าวทีวี รายการสัมภาษณ์ เรียกว่า จ่อขอคิวกันทีเดียว

ด้วยหน้าตาดี และเปิดโชว์รอยสักส่วนตัวแล้วทำให้กลายเป็ขวัญใจของสาวๆ ทุกอายุ และเป็นขวัญใจชาวสีม่วงไปแล้ว





กำลังจะไหว้พระสวดมนต์คับ ทำพานดอกไม้บูชาพระ
สาธุ ขอให้กุศลครั้งนี้ ส่งถึงทุกคนด้วยเถิด
ให้ร่ำรวยๆ เงินไหลนองทองไหลมา การงานราบรื่นอย่ามีสิ่งหนึ

่งประการใดมาขัดมาขวาง นอนหลับฝันดีทุกคนนะคับ สาธุ.....


ทีมา : http://www.bigzaa.com/news-172743

แม่ทิ้งลูก ไร้การเหลียวแล! ตายายคนจนต้องหอบหลานมาโรงพยาบาล ทั้งที่ไม่มีเงินติดตัวสักบาท


เป็นเรื่องราวของเด็กชายอีกรายที่น่าเห็นใจไม่น้อย เมื่อหนูน้อยถูกผู้ที่ขึ้นชื่อว่า "แม่" นำมาฝากไว้กับตายายที่ต่างจังหวัด หลักจากนั้นก็หนีหาย ไม่เคยติดต่อได้หรือกลับมาเยี่ยมเยียน "ลูก" อีก เลย จนถึงวันนี้เด็กมีอาการป่วยหนักจนตายายทนไม่ไหว ต้องพาหลานมาโรงพยาบาล ทั้งที่ไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท ยอมอ้อนวอนให้แพทย์ช่วยเหลือ


ช่วยแชร์หรือแท็กไปต่อหน่อยนะครับ ตายายคู่นี้พาหลานมาหาหมอเพราะเป็นไข้หอบ แต่ไม่มีค่ารักษาพยาบาลน้องเขา แต่ทางโรงพยาบาลก็ช่วยค่ารักษาทุกบาทครับ แต่ที่สำคัญยายเดินหลังค่อม ส่วนตาสายตาไม่ดี มองไม่เห็น

เลี้ยงหลานที่แม่ของเด็กมาทิ้งไว้ตั้งแต่ 4 เดือนได้ครับ ตอนนี้ไม่มีเงินสักบาทเลยครับ น่าสงสารมาก ตายายอายุก็มากแล้วแต่ต้องมารับภาระเลี้ยงดูหลานตัวเล็ก ที่แม่มาถิ้งไว้ตั้งแต่ออก แล้วก็หนีหายไปไม่เคยส่งข่าว หรือจะส่งเสียเลี้ยงดูช่วยคุณตาคุณยายเลย

ตามที่ได้นั่งคุยกะท่านนะครับตายายคู่นี้อยู่บ้านบกขี้ยาง ตำบลหนองหัวช้าง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ยังไงก็ช่วยกันแชร์ต่อๆไป หรือใครมีจิตศรัทธาช่วยเหลือตายายได้ก็เชิญนะครับ แชร์ต่อด้วยครับ!!!

Boxza ขอเป็นกำลังใจให้กับชะตาชีวิตนี้ เชื่อว่าตายายทำดีที่สุดแล้ว และถ้าแม่ของน้องได้มาเห็นเขา อยากให้คุณรู้ไว้ว่านี่คือ ลูก และ พ่อ แม่ ของคุณเอง อย่างน้อยช่วยส่งข่าว หรือเป็นกำลังใจให้กันบ้างก็ยังดีนะคะ
ทีมา http://news.boxza.com/view/29709